"หลักนิติธรรมเป็นหลักของประชาชน... ที่ไม่ให้นักกฎหมายหรือระบบกฎหมายใช้กฎหมายอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ให้กฎหมายถูกใช้โดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นหลักของประชาชนโดยตรง"
ศ. (พิเศษ) ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวถึงหลักนิติธรรม พร้อมกับเน้นถึงความสำคัญของ “หลักนิติธรรม” ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่สุดในการวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้ยั่งยืนด้วยว่า หลายครั้งที่การปฏิรูปประเทศอาจมุ่งเน้นไปที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น การไฟฟ้า การประปา จนอาจละเลยหลักนิติธรรม

การประชุมประจำปี ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform” เมื่อวันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568 คำว่า “หลักนิติธรรม” เป็นคำที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้งเพื่อสะท้อนถึงฐานรากของอาคารที่มองไม่เห็น หากฐานรากนี้ขาดความมั่นคงแข็งแรงแล้ว สถาบันทั้งปวงที่ตั้งอยู่บนนั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง ย่อมไม่อาจตั้งมั่นอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ในการประชุมครั้งนี้ ศ.(พิเศษ) ดร.กิตติพงษ์ ได้กล่าวถึงหลักนิติธรรมว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปประเทศ และหลักนิติธรรมไม่ใช่เรื่องทางเทคนิคที่จำกัดอยู่เพียงแวดวงนักกฎหมาย แต่มีความสำคัญต่อประชาชนทุกคน กล่าวคือ หลักนิติธรรมนั้นจะเอื้อให้เกิดการพัฒนา ดังนี้
- สร้างหลักประกันแห่งความยุติธรรม: หลักนิติธรรม คือ กติกาของสังคมที่มีที่มาอันชอบธรรม มีความชัดเจน และบังคับใช้ต่อทุกคนอย่างเสมอภาค ปราศจากการเลือกปฏิบัติ
- เสริมสร้างความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ: สังคมที่มีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและภาคธุรกิจ เนื่องจากกฎเกณฑ์ต่าง ๆ สามารถคาดการณ์ได้ นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
- เป็นกลไกตรวจสอบและป้องกันการทุจริต: หลักนิติธรรมคือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ สร้างความโปร่งใส และทำให้การทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นได้ยาก
- ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ: นานาประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง ล้วนมีดัชนีชี้วัดด้านหลักนิติธรรมที่ดีเยี่ยม การยกระดับเรื่องนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการนำพาประเทศไทยสู่มาตรฐานสากล
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการปฏิรูปหลักนิติธรรมนั้นยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยประธานกรรมการ TIJ ระบุว่าเพราะสังคมยังไม่ได้มองหลักนิติธรรมอย่างเป็นระบบว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับทั้งระบบ แต่มองว่าหลักนิติธรรมเป็นนามธรรม มีความซับซ้อน ถูกมองแบบแยกส่วน และถูกเข้าใจว่าเป็นเรื่องของนักกฎหมาย
กระนั้นก็ตาม ขณะนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ เมื่อหลักนิติธรรมถูกทำให้เป็นรูปธรรมและวัดผลได้ ผ่านกรอบการประเมินที่เป็นสากล 8 ประการ โดยการดำเนินการของ The World Justice Project ซึ่งประกอบด้วย การจำกัดอำนาจรัฐและการตรวจสอบถ่วงดุล การปราศจากการทุจริต ความโปร่งใสของภาครัฐ การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคง ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ประสิทธิผลของกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง ประสิทธิผลของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (สามารถอ่านรายงานดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม ประจำปี 2567 ได้ที่นี่ https://worldjusticeproject.org/rule-of-law-index/)

ประธานกรรมการ TIJ ย้ำทิ้งท้ายด้วยว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยการปฏิรูปหลักนิติธรรมให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของชาติ ต้องได้รับการผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนมีความเข้าใจร่วมกัน และใช้มาตรฐานสากลและแนวปฏิบัติที่ทั่วโลกได้ดำเนินการมาอยู่แล้วเป็นเครื่องชี้นำ อีกทั้งต้องเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มุ่งรับผิดชอบต่อประชาชน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย "ธรรมาภิบาล" (Good Governance) และธรรมาภิบาลจะบังเกิดผลได้จริง ก็ต่อเมื่อมี "หลักนิติธรรม" เป็นเครื่องมือค้ำจุน
ที่สำคัญอีกประการคือการเปลี่ยนแปลงนี้จะสำเร็จได้ มิใช่เพียงด้วยความเข้าใจในข้อกฎหมาย แต่ต้องอาศัยการสร้างวัฒนธรรม "พลเมืองที่ตื่นรู้" (Active Citizen) ที่ประชาชนเข้าใจในสิทธิ ควบคู่กับหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคม และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกฝ่าย ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องร่วมกันผลักดันให้ภาครัฐ โดยเฉพาะรัฐบาลชุดใหม่ กำหนดวาระเร่งด่วนที่ชัดเจนในการปฏิรูปด้านหลักนิติธรรม และมุ่งมั่นดำเนินการให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นและสร้างอนาคตที่มั่นคงให้แก่ประเทศไทย

การประชุมประจำปีของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform” จัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568 โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวเปิดประชุมว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค แต่ที่ผ่านมาการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่า 5% ต่อเนื่องตั้งแต่แผนฯ ฉบับที่ 10 และความสามารถในการแข่งขันลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ พร้อมเน้นว่า ประเทศไทยไม่อาจพัฒนาไปได้ไกล หากยังคงมีโครงสร้างที่บิดเบี้ยวและกลไกเชิงถาบันที่อ่อนแอ และถึงเวลาที่ต้องแก้ไขเพื่อฟิ้นฟูความเชื่อมั่นและปลดล็อกศักยภาพการแข่งขันของประเทศ

ด้าน นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำเสนอ หัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform” โดยชี้ให้เห็นถึงผลการขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ ฉบับที่ 13 แม้จะมีความพยายามในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ก้าวหน้ามากพอ และหลายด้านยังไม่ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างแท้จริง พร้อมย้ำถึง 5 ปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัยเชิงสถาบันที่สำคัญที่เป็นข้อจำกัดของประเทศ ได้แก่
- กฎหมายและระเบียบ ที่มีจำนวนมาก ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน
- การทุจริตคอร์รัปชัน ที่บิดเบือนโครงสร้างแรงจูงใจและบั่นทอนความเชื่อมั่น
- หลักนิติธรรม ที่ยังอ่อนแอ ล่าช้า และลดทอนความน่าเชื่อถือ
- ประชาธิปไตย ที่ยังไม่มั่นคง ส่งผลให้กติกำไม่เปิดกว้างและไม่เป็นธรรม
- การบริหารจัดการภาครัฐ ที่มีขนำดใหญ่แต่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดการบูรณาการ และเผชิญข้อจำกัดด้านการคลัง
นายดนุชา กล่าวย้ำว่าการแก้ปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องเดินหน้าภายใต้กรอบ D-A-R-E to Reform กล่าวคือ Determination ความมุ่งมั่นตั้งใจ Action Together การลงมือร่วมกัน Redesign Innovation การออกแบบกติกาและนวัตกรรมเชิงสถาบันเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และ Emergency Mindset การตระหนักถึงความเร่งด่วน และต้องดำเนินการทันทีไม่ผัดผ่อน

นอกจากนี้ ดร.วิรไท สันติประภพ ประธานกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และ ดร.ปิติ ตัณฑเกษม กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบีธนชาติ หรือ ทีทีบี ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและแนวทางเชิงรูปธรรมในการเสวนาหัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย ทำอย่างไรให้เป็นจริง” ร่วมกับ ศ.(พิเศษ) ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการ TIJ ด้วย