ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม: กฎหมาย คน และธรรมชาติที่ต้องเดินไปด้วยกัน
เมื่อพูดถึง “ความยุติธรรม” หลายคนอาจนึกถึงเพียงกระบวนการศาลหรือการตัดสินคดี แต่ในมิติของสิ่งแวดล้อม ความยุติธรรมหมายถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่จะอยู่ในโลกที่ไม่เต็มไปด้วยมลพิษ อากาศเป็นพิษ น้ำปนเปื้อน หรือดินที่เสื่อมโทรม ความยุติธรรมสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันคือสิทธิที่จะหายใจ ดื่มน้ำ และใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
การเสวนาในงาน Bangkok Climate Action Week ในกิจกรรมเสวนาคู่ขนาน หัวข้อ "รูปธรรมของความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม : เรียนรู้จาก Case Study" ได้สะท้อนภาพกว้างของความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและบทบาทของกฎหมายในการปกป้องสิทธิของประชาชน
วงเสวนาเริ่มด้วย ธนพร เตชฤทธิพิทักษณ์ Senior Programme Development Officer, TIJ Academy เป็น Keynote Speaker ชวนคิดถึงประเด็นความยุติธรรมสิ่งแวดล้อมและความยุติธรรมสำหรับคนว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง โดยระบุว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นเกิดได้ทั้งในมิติของความสมบูรณ์ทางชีวภาพ ปัญหามลพิษดิน น้ำ อากาศ และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และสิทธิของคนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเช่นสิทธิในข้อมูล สิทธิในการมีส่วนร่วม สิทธิการเข้าถึงน้ำและอากาศสะอาด การใช้ประโยชน์จัดการและอนุรักษ์ เป็นต้น
ในทางกฎหมายทั่วโลกต่างมีกฎหมายหรือกลไกที่คุ้มครองสิทธิที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม อย่างการที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศในปี 2565 ว่าสิทธิในการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนปลอดภัยเป็นสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทยเองก็มีรัฐธรรมนูญหลายฉบับที่คุ้มครองในด้านของสิทธิทางสิ่งแวดล้อม
ทว่าการดำเนินการด้านความยุติธรรมสิ่งแวดล้อมในไทยนั้นยังมีข้อท้าทายอยู่มาก โดยจากการศึกษาของโครงการส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมสิ่งแวดล้อมของ TIJ Academy พบว่า ในกระบวนการนำไปใช้มีผู้มีส่วนได้เสียทั้งภาคประชาสังคม หน่วยงานกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานยุติธรรม แต่ละหน่วยมีบทบาทคาบเกี่ยวกันอย่างการรับเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบ กระบวนการทางกฎหมายและยุติธรรม การบังคับคดี เยียวยา และฟื้นฟู แต่กลับต่างหน่วยต่างทำงาน ทำให้กระบวนการยุติธรรมกลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายสำหรับการปกป้องคุ้มครองสิทธิทางสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกลุ่มผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Human Rights Defenders - EHRDs)
ธนพร สรุปด้วยว่า อย่างไรก็ตามปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมสิ่งแวดล้อมไทยมีความเข้มแข็งขึ้น แต่ยังมีปัญหาที่การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมมีความยุ่งยากซับซ้อนและใช้เวลานาน การบังคับใช้กฎหมายหลายคดีประสบชัยชนะ แต่การฟื้นฟูเยียวยาสิ่งแวดล้อมที่เสียไปแล้วคืนมานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย พร้อมยกตัวอย่างคดีศึกษาและบทเรียนจากไทย ได้แก่
• ห้วยคลิตี้ (2541–2558): คดีมลพิษสารตะกั่วที่กินเวลายาวนาน สิ่งแวดล้อมไม่สามารถฟื้นกลับมาได้เต็มที่ แม้ศาลจะมีคำพิพากษา
• ลุ่มน้ำโจน (2562–2567): ศาลตัดสินให้เอกชนจ่ายเงินชดเชยกว่า 1,600 ล้านบาท แต่การฟื้นฟูจริงยังไม่เกิดผล
• น้ำมันรั่วระยอง: เกิดซ้ำซ้อนแทบทุกปี แสดงให้เห็นการป้องกันที่ล้มเหลว
• อ่าวมาหยา: ต้องปิดเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศหลังการท่องเที่ยวที่เกินขีดจำกัดงมีการเกิดเหตุซ้ำอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะปิดท้ายด้วยการยกตัวอย่างคดีดังด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
จากนั้นจึงเปิดเวทีให้ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ดร.กฤษฎา บุญชัย เลขาธิการ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) จริยา เสนพงศ์ Engagement Manager, Energy Transition Bangkok, C40 สมภพ ประทุม ผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ ณัฐชยา พิเชฐสัทธา Policy Advisor, GIZ Thailand (ตัวแทนจาก Bangkok Climate Action Week Organizer) ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนใน 3 ประเด็นสำคัญคือนิยามของความยุติธรรมสิ่งแวดล้อม ความท้าทายและอุปสรรค และแนวทางการดำเนินงานด้านความยุติธรรมสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมที่ผ่านมาและในอนาคต
นิยามและหลักการของความยุติธรรมสิ่งแวดล้อม
จากวงเสวนา อาจจำกัดความได้ว่า ความยุติธรรมสิ่งแวดล้อม หมายถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ไม่ละเมิดสิทธิของใคร และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติด้วย โดยเป็นการยืนยันว่า ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทั้งคนในรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นหลัง
กฤษฎา อธิบายว่า ความยุติธรรมสิ่งแวดล้อมคือ “สภาพความเป็นสุขตามธรรมชาติ ทั้งของคนและสมดุลทางนิเวศ”
สุภาพร มองว่า แก่นแท้ของมันคือการ “เข้าถึงและจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน” และ “ทุกคนควรได้รับการคุ้มครองปกป้องจากสภาวะแวดล้อมอย่างเท่าเทียม”
ด้าน จริยา เสริมด้วยว่า สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่งยืน ซึ่งประกอบด้วยประชาชน การมีส่วนร่วม และประโยชน์ร่วมกันที่ทุกฝ่ายจะได้รับจากการจัดการที่เป็นธรรม
ส่วน สมภพ เพิ่มมิติสำคัญว่า ความยุติธรรมต้องไม่หยุดแค่คนในปัจจุบัน แต่ต้องรวมถึง “ความยุติธรรมระหว่างรุ่น” เพื่อปกป้องสิทธิของคนรุ่นอนาคตด้วย
ความท้าทายในการเข้าถึงความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม
กฤษฎา กล่าวถึงมิตินี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า ความท้าทายนั้นเริ่มมาตั้งแต่กับดักของภาษาและวัฒนธรรม เพราะความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ได้อยู่เพียงในมิติวิทยาศาสตร์ แต่ยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและความเชื่อของชุมชน อย่างเช่น “จิตวิญญาณของปลา” หรือ “ลมหายใจบริสุทธิ์” ที่ชาวบ้านพูดถึง แต่ในศาลกลับถูกตีความเป็นเพียงหลักฐานเชิงเทคนิค
ทั้งยังเสริมด้วยว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมยังสะท้อนถึงปัญหาด้านโครงสร้างอำนาจด้วย สิ่งแวดล้อมและความยุติธรรมไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ปัญหาส่วนใหญ่สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำ เช่น โรงงานอุตสาหกรรมมักไปตั้งในพื้นที่ของคนจน การประกาศเขตป่าที่กันชุมชนออกไป หรือแม้แต่ในอดีตที่ชนชั้นสูงเข้าไปล่าสัตว์ในป่า ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม
“การจัดสรรอำนาจเป็นเรื่องของคนในกลุ่มคนที่ถูกนับ คนไม่ถูกนับจะไม่ถูกจัดสรร ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง” กฤษฎา กล่าว
ขณะที่ สุภาภรณ์ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาในการเข้าถึงสิทธิที่จำกัด โดยเฉพาะในด้านกฎหมายไทย ที่แม้เปิดช่องให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล แต่ในความเป็นจริง การเข้าถึงกลับเต็มไปด้วยข้อยกเว้น ตัวอย่างเช่น พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และประเด็นที่สองคือการส่งเสริมสิทธิมีส่วนร่วมของประชาชนบนเวที EIA และ EHIA ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่สะท้อนเสียงคัดค้านของชาวบ้าน
ด้าน จริยา กล่าวเสริมเรื่องสิทธิว่า การรับรองสิทธิ การรับรู้สิทธิ การร่วมใช้สิทธิ ซึ่งมีปัญหาทั้งหมดอย่างการรับรองสิทธิรัฐธรรมนูญ มาตรการระหว่างประเทศ เรื่องสิทธิมนุษยชน และการบังคับใช้ก็มีปัญหา นอกจากนี้ เวลาพูดถึงความเป็นธรรมสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ทุกคนต้องรู้หรือรับรู้ว่ามีสิทธิอะไรที่จะเรียกร้อง นำไปสู่ปัญหาในการร่วมกันใช้สิทธิ ทำให้การผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างการออกกฎหมายไม่ประสบผลสำเร็จ
ปิดท้ายที่ สมภพ อภิปรายในประเด็นของฝ่ายปกครองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ในประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมกว่า 40–50 ฉบับ ครอบคลุมตั้งแต่น้ำ ป่า มลพิษ ไปจนถึงการประเมินผลกระทบโครงการพัฒนา แต่ปัญหาคือกฎหมายเหล่านี้กระจัดกระจาย ไม่เชื่อมโยงกัน และการบังคับใช้ไม่สม่ำเสมอ
คดีสิ่งแวดล้อมยังถูกพิจารณาทั้งในศาลยุติธรรมและศาลปกครอง ซึ่งมีกระบวนการและวิธีการพิจารณาคดีที่แตกต่างกัน ทำให้หลายคดีใช้เวลายาวนานเกินไป ในขณะที่ในต่างประเทศ หลายแห่งได้จัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจมิติสิ่งแวดล้อมโดยตรง
การผลักดันความยุติธรรมสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม
แม้จะมีความท้าทายอยู่มาก แต่ก็เป็นที่ยอมรับว่ากระบวนการยุติธรรมทางด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยมีความก้าวหน้าและเข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม โดยผู้เสวนาได้ร่วมกันนำเสนอความพยายามในด้านมิติต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น
ความพยายามด้านกฎหมายและนโยบาย
- การผลักดัน กฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) เพื่อบังคับให้เปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษ
- การจัดตั้ง กองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และสนับสนุนแรงงานที่ต้องเปลี่ยนอาชีพจากอุตสาหกรรมฟอสซิล
- การเสนอให้มี รัฐธรรมนูญใหม่ ที่ระบุสิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างชัดเจน
- การ “สังคายนากฎหมายสิ่งแวดล้อม” ให้มีความชัดเจน เข้าใจง่าย และเป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมกับพิจารณาการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมในอนาคต
การขับเคลื่อนจากภาคประชาสังคม
เครือข่ายมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) สนับสนุนชุมชนให้รู้จักสิทธิและใช้สิทธิคัดค้านหรือเข้าถึงข้อมูล ขณะที่เครือข่าย Thai Climate Justice ทำงานกับกลุ่มชาติพันธุ์ ชุมชนชายฝั่ง และผลักดันโครงการ Youth Climate Justice Advocate เพื่อสร้างบทบาทให้กับเยาวชน
บทบาทของเมืองและท้องถิ่น
เมืองเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของผู้คน อย่าง กรุงเทพมหานคร ได้ตั้งเป้าลดมลพิษทางอากาศอย่างน้อย 30% และขยายการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเริ่มจากอาคารของ กทม. ก่อนและมีแนวคิดจะขยายไปทั่วเมือง
ศาลและสถาบันยุติธรรม
ศาลไทยเริ่มตื่นตัวกับแนวคิด Climate Justice โดยจัดทำหลักสูตรกฎหมายสิ่งแวดล้อม ให้มีการเรียนการสอนด้านนี้มที่เข้มแข็ง และมีแนวคิดจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมเฉพาะทาง เพื่อให้การพิจารณาคดีรวดเร็วและสอดคล้องกับธรรมชาติของปัญหา
แนวทางในอนาคตเพื่อการส่งเสริมความยุติธรรมสิ่งแวดล้อม
ช่วงท้ายวงเสวนาได้แลกเปลี่ยนกันถึงปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมให้แก้ไขปัญหาอย่างรูปธรรมในอนาคต ซึ่งอาจสรุปได้ดังนี้
- Active Citizen การที่ประชาชนตื่นรู้สิทธิและใช้สิทธิของตนเองในการกำหนดนโยบายและตรวจสอบโครงการต่าง ๆ
- การเสริมพลังคนรุ่นใหม่ ดังตัวอย่างจากยุโรปที่เด็กเพียง 8 ขวบสามารถยื่นคำร้องต่อศาลในเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ แสดงให้เห็นว่าการปลูกฝังสิทธิสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เด็กเป็นสิ่งจำเป็น
- การปฏิรูปกฎหมายและศาล รวมกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนให้ชัดเจน และสร้างศาลสิ่งแวดล้อมที่มีผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
- เมืองและนโยบายสาธารณะ เมืองที่มีนโยบายอากาศสะอาด น้ำสะอาด และพลังงานหมุนเวียนจะเป็นต้นแบบของความยุติธรรมสิ่งแวดล้อม
- การบูรณาการความรู้ข้ามสาขา ต้องผสมผสานทั้งกฎหมาย สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหาอย่างรอบด้าน
บทความสรุปงาน Bangkok Climate Action Week ในกิจกรรมเสวนาคู่ขนาน หัวข้อ "รูปธรรมของความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม : เรียนรู้จาก Case Study" วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เวลา 13.00 – 16.00 น. ที่ห้อง Learning Studio อาคาร TIJ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ