ยอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัว

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ (cookie) เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานและเพิ่มความพึงพอใจต่อการได้รับการเสนอข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตามนโยบายคุกกี้ของเรา

รายละเอียดเพิ่มเติม

ในระบบเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีความสัมพันธ์โดยตรงกับเสถียรภาพและประสิทธิภาพของกลไกเชิงระบบภายในประเทศ ประสิทธิผลของภาครัฐ เสถียรภาพทางการเมือง และระบบยุติธรรมที่น่าเชื่อถือ ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าดึงดูดใจของประเทศไทยในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ข้อมูลจากดัชนีชี้วัดระดับสากล อาทิ ดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) และดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขันโลก (World Competitiveness Ranking) ได้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในระบบโครงสร้างทางสังคมของไทยในลักษณะเดียวกันนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างความเปราะบางของหลักนิติธรรมกับขีดความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอย

 

ดังนั้น การปฏิรูปเพื่อแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้ประเทศไทยสามารถสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุน และก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้อย่างยั่งยืน และการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ การปฏิรูปดังกล่าวจะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นร่วมกันในการปฏิรูปหลักนิติธรรมให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรม

 

 

สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) จึงร่วมกับ เครือข่ายผู้บริหารด้านหลักนิติธรรมและการพัฒนา (RoLD) The World Justice Project (WJP) และสำนักข่าว THE STANDARD จัดเวทีสาธารณะด้านหลักนิติธรรม (The Rule of Law Forum) ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “การฟื้นฟูโครงสร้างเชิงระบบและหลักนิติธรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Institutional Readiness for Thailand's Competitiveness)” เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ที่อาคาร TIJ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ  เพื่อร่วมกำหนดทิศทางขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเร่งปฏิรูประบบหลักนิติธรรมเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดการลงทุน

 

หลักนิติธรรมคือ “วัฒนธรรมแห่งความเป็นธรรม” และ “ต้นทุน” สร้างเศรษฐกิจไทย

 

 

ในโอกาสนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "หลักนิติธรรม: วาระแห่งชาติเพื่อความสามารถในการแข่งขันของไทย" ว่า หลักนิติธรรมคือไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือเรื่องของวัฒนธรรมแห่งความเป็นธรรมที่จะต้องปลูกฝังให้มีอยู่ในทุกอณูของสังคม เพื่อให้ประเทศไทยมีกฎหมายที่เป็นธรรม มีระบบที่ทุกคนเชื่อมั่น และมีคนที่ยืนหยัดบนความถูกต้อง เพราะประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน ทั้งภัยจากความมั่นคง ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ จากบริบทของโลกยุคใหม่ ความเหลื่อมล้ำ การขาดเสถียรภาพของระบบการเมือง และปัญหาในกลไกการปกครอง ซึ่งล้วนมีรากฐานมาจากโครงสร้างทางกฎหมาย และวัฒนธรรมที่ไม่เอื้อต่อการอำนวยความเป็นธรรม

 

“บทเรียนจากทั่วโลกชี้ตรงกันว่า หากหลักนิติธรรมอ่อนแอ ประเทศนั้นจะไม่สามารถรักษาความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้ นักลงทุนหนีหายไปหมด ในอีกทางหนึ่งครับ เราพูดได้เลยว่า “หลักนิติธรรม คือ ต้นทุน สำหรับความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ประเทศไทย"

 

ก่อนกล่าวต่อไปว่า ในวันนี้ เรากำลังอยู่ในเส้นทางของการพยายามเข้าร่วมเป็นสมาชิก Organization for Economic Cooperation and Development (OECD) ซึ่งอย่างที่เราทราบกัน การจะเป็นประเทศสมาชิก OECD ได้ จะต้องมีมาตรฐานสูง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรม จึงถือเป็นโอกาสอันดี และเป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องเริ่มต้นปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจังในฐานะที่เป็นวาระเร่งด่วน

 

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลมีแผนที่จะดำเนินการเรื่องนี้ โดยแบ่งเป็น 3 วาระ คือ การวาง Roadmap ด้านหลักนิติธรรมเพื่อเตรียมสู่ OECD การปลดล็อกการคอร์รัปชันและปฏิรูปกฎหมายที่เป็นอุปสรรค การสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของสังคม มุ่งสร้างรัฐบาลเปิด open government โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้ประชาชนติดตามตรวจสอบและสะท้อนความเห็นต่อการทำงานของรัฐได้ อีกทั้งย้ำว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างจริงจังในการปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมายอย่างยาเสพติด บ่อน การพนันออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งเน้นการทำงานเชิงนโยบายที่มองอย่างเป็นระบบอีกด้วย

 

ต้นตอปัญหาอยู่ที่ระดับโครงสร้าง: หนุนแก้คอร์รัปชัน-ข้อมูลเปิดภาครัฐ-ปฏิรูปกฎกติกา

 

 

"การแก้ปัญหาหลักนิติธรรมที่ไม่สำเร็จในอดีตเป็นเพราะการละเลยต้นตอของปัญหาในระดับโครงสร้าง ทั้งเรื่องธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรม" 

 

ด้าน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในพิธีเปิดว่า หัวข้อการฟื้นฟูโครงสร้างเชิงระบบและหลักนิติธรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศสะท้อนความเข้าใจร่วมกันว่า หลักนิติธรรมไม่ใช่เรื่องของนักกฎหมายเท่านั้น แต่คือโครงสร้างพื้นฐานที่มองไม่เห็น ซึ่งต่างจากถนน สะพาน หรือระบบไฟฟ้า แต่มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นรากฐานของความมั่นคง ความยุติธรรม และศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว พร้อมระบุด้วยว่า การแก้ปัญหาที่ไม่สำเร็จในอดีตเป็นเพราะการละเลยต้นตอของปัญหาในระดับโครงสร้าง ทั้งเรื่องธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นในทิศทางเดียวกันจากการกำหนดเป้าหมายที่ 16 ของการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ OECD และผลคะแนน Rule of Law Index ของ The World Justice Project

 

TIJ พร้อมจะทำหน้าที่เป็น “พื้นที่กลาง” ร่วมกับ WJP และ OECD เพื่อพัฒนา Blueprint และ Roadmap ด้านหลักนิติธรรมของไทย ที่มีเป้าหมายชัดเจน วัดผลได้ และสอดคล้องกับทั้งบริบทไทยและมาตรฐานโลก โดยเชื่อมั่นว่าแนวทาง “International Pull – Domestic Push” ที่ผสานแรงดึงจากมาตรฐานสากลของ WJP และ OECD เข้ากับแรงผลักจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน คือแนวทางแห่งความสำเร็จ ที่จะนำพาเราสู่จุดสมดุลระหว่างมาตรฐานโลกกับความเป็นจริงของประเทศไทย

 

นอกจากนี้ ประธานกรรมการ TIJ เสนอว่า ในช่วงเวลา 4 เดือนของรัฐบาลชุดปัจจุบันควรสร้าง “โมเมนตัมการปฏิรูป” โดยเริ่มจากสามเรื่องพื้นฐาน ได้แก่ การต่อต้านคอร์รัปชัน (Anti-Corruption) รัฐบาลเปิดและข้อมูลเปิด (Open Government & Open Data) การปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory Reform) ทั้งสามเรื่องนี้มีต้นทุนความร่วมมืออยู่แล้ว หากรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ก็สามารถต่อยอดและผลักดันให้เกิดผลได้อย่างรวดเร็ว

 

ผลักดัน Blueprint ปรับสนามให้เป็นธรรม เพิ่มศักยภาพการแข่งขันไทย

 

 

ดร. พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ ร่วมบรรยายพิเศษ หัวข้อ “สถานการณ์หลักนิติธรรมในประเทศไทย: ความท้าทายและโอกาสสำหรับความร่วมมือระดับชาติ” ว่า หากจินตนาการให้ประเทศไทยเป็นสนามแข่งขัน “หลักนิติธรรม” ก็คือ กติกา หรือ มาตรฐานของสนาม ที่ทำให้ทุกคนเล่นได้อย่างเป็นธรรมอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน แต่ถ้าพื้นสนามไม่เรียบ กรรมการลำเอียง หรือมีบางคนไม่เล่นตามกติกา ก็จะได้ผลการแข่งขันที่ไม่สะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เล่น และทำให้ผู้เล่นจำนวนมากรู้สึก “หมดศรัทธาในเกม” ดังนั้น การแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน จึงไม่ใช่การซ่อมสนาม ปรับเส้น ปรับเกณฑ์ หรือเพียงแค่ไปแก้กติกา แต่ต้อง “ออกแบบสนามใหม่” ด้วยการไปแก้ที่ระบบอำนาจทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังสนาม

 

ผู้อำนวยการ TIJ ให้คำมั่นว่า สิ่งที่ TIJ ตั้งใจจะทำไม่ใช่เป็นผู้เล่นหรือกรรมการ แต่เป็นผู้ดูแลสนามที่ทำให้ทุกฝ่ายมาเจอกันได้อย่างเท่าเทียม พูดคุยบนฐานข้อมูลเดียวกันและมองเห็นทิศทางเดียวกัน ด้วยการสร้างพื้นที่กลาง (Common Ground) ที่เป็นสนามกลางเปิดให้ทุกภาคส่วนได้มาพูดคุย แลกเปลี่ยน และร่วมออกแบบกติกาใหม่ของประเทศ การออกแบบพิมพ์เขียวระดับชาติ (National Blueprint) เพื่อร่วมกันสร้างเข็มทิศและองศาใหม่ของประเทศ เราจะร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศทั้ง OECD, WJP และ UN เพื่อเรียนรู้มาตรฐานสากลจากประเทศที่มีสนามแข่งขันที่แฟร์กว่า และนำมาออกแบบให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย”

 

“เมื่อเรารู้แล้วว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหนของสนามโลก เรามีเข็มทิศที่ชื่อว่า “หลักนิติธรรม” สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ ปรับองศาการเดินของประเทศ ให้ตรงกับเข็มทิศนั้น หลักนิติธรรมคือ “สนาม” Blueprint คือ “องศา” TIJ และพันธมิตรคือ “ผู้ดูแลสนาม” และประชาชนคือ “ผู้เล่นทุกคน” ที่จะทำให้เกมนี้ดำเนินต่อไปได้อย่างมีความหวัง

 

หลักนิติธรรมสร้างได้ต้องมี “ความเชื่อมั่น”

 

นอกจากนี้ Dr. Tatyana Teplova หัวหน้าที่ปรึกษาอาวุโสด้านความยุติธรรม ในสำนักบริหารกิจการสาธารณะ (Public Governance Directorate) องค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า OECD ไม่ได้มองว่าหลักนิติธรรมเป็นเพียงหลักการทางกฎหมายเท่านั้น แต่เป็น “รากฐานสำคัญ” ของธรรมาภิบาลประชาธิปไตยและเสถียรภาพทางสังคม หลักนิติธรรมช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบ คุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิทธิขั้นพื้นฐาน อีกทั้งยังเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันและผู้นำที่ทำหน้าที่รับใช้ประชาชน

 

การมีหลักนิติธรรมที่ดีเช่นการมีระบบกฎหมายที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพช่วยดึงดูดการลงทุน เพิ่มความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน และสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ขยายกิจการ ในทางกลับกัน หากประชาชนเข้าถึงความยุติธรรมได้ยากหรือมีต้นทุนสูง จะนำไปสู่การสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยจากรายงานของ WJP พบว่าปัญหาทางกฎหมายที่ไม่ได้รับการแก้ไขอาจสร้างความสูญเสียให้กับประเทศได้มากถึง 3% ของจีดีพี ซึ่งรวมถึงทั้งการสูญเสียด้านผลิตภาพและต้นทุนทางสังคมที่เชื่อมโยงกับข้อพิพาทที่ยังไม่ได้รับการยุติ

 

ในโอกาสที่เป็นห้วงเวลาสำคัญของไทยสำหรับความพยายามในการเข้าเป็นสมาชิก OECD จะให้การสนับสนุนไทยในการประเมินและออกแบบการปฏิรูปเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างระบบยุติธรรมที่ยุติธรรม รวดเร็ว โปร่งใส และเป็นมิตรกับประชาชนและธุรกิจ ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง

 

 

“การปฏิรูปที่เรากำลังดำเนินการอยู่นี้ ไม่ใช่แค่การทำให้ครบตามรายการ แต่คือการสร้างหลักประกันว่าคนไทยทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เป็นเจ้าของร้านเล็ก ๆ หรือเป็นผู้นำในชุมชน จะต้องเข้าถึงความยุติธรรมได้ในวันที่ความยุติธรรมสำคัญกับชีวิตของพวกเขามากที่สุด” 

 

Dr. Teplova กล่าวย้ำด้วยว่า  ความเชื่อมั่น (Trust) เป็นสิ่งสำคัญที่สุดและไม่อาจเกิดขึ้นจากการพูดปากเปล่า แต่เกิดได้จากการลงมือทำจริง เมื่อไรก็ตามที่กระบวนการยุติธรรมมีความเที่ยงธรรม รวดเร็ว ตรวจสอบได้ และมองเห็นประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ เมื่อนั้นศรัทธาก็จะกลับคืนมา และเมื่อศรัทธากลับมา ประเทศก็จะก้าวไปข้างหน้า ดึงดูดการลงทุน และปกป้องสิทธิของทุกคนได้ดียิ่งขึ้น”

 

เศรษฐกิจถดถอย: ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเมื่อรัฐบาลไร้นิติธรรม

 


Mark Lewis หัวหน้าฝ่ายความร่วมมือภาครัฐ The World Justice Project (WJP) ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษเพื่อสะท้อนความสำคัญของหลักนิติธรรมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความก้าวหน้าของสังคมอย่างยั่งยืน โดยระบุว่า หลักนิติธรรมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา การสร้างรัฐบาลที่โปร่งใส และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ หลักนิติธรรมที่มั่นคงยังเป็นเสาหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

 

อย่างไรก็ดีตลอด 7 ปีที่ผ่านมา เป็นที่น่ากังวลว่าประเทศจำนวนมากเผชิญกับสถานการณ์หลักนิติธรรมเสื่อมถอย โดยเฉพาะในด้านกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง การบังคับใช้กฎระเบียบ และระดับการทุจริต ซึ่งมีความเชื่อมโยงโดยตรงต่อศักยภาพการแข่งขันของแต่ละประเทศ

 

ในการนี้ Mr. Lewis ได้ยกตัวอย่างความเชื่อมโยงระหว่างหลักนิติธรรมกับศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ว่า เมื่อระบบยุติธรรมทางแพ่งและพาณิชย์ล่าช้าหรือถูกแทรกแซงจะบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาด ส่วนการทุจริตคอร์รัปชันนั้นสร้างต้นทุนแฝงและบิดเบือนการแข่งขันที่เป็นธรรม การมีระบบหลักนิติธรรมที่มั่นคงจึงมีความสำคัญต่อการสร้างตลาดที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือทั้งภายในประเทศและในเวทีระหว่างประเทศ

 

ส่องกลไกประเทศไทย: ผู้นำ 5 อุตสาหกรรมหลักพร้อมสู้สร้างสนามการแข่งขันที่ยั่งยืน

 

 

จากนั้นเป็นการเปิดเวทีเสวนา หัวข้อ "ความพร้อมของกลไกเชิงสถาบันกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ" เพื่อวิเคราะห์ความท้าทายเชิงปฏิบัติการและประเมินศักยภาพในการปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบันของประเทศไทย อันจะนำไปสู่การสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่มีเสถียรภาพและเอื้ออำนวยต่อการลงทุน โดย ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร. พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประ เทศไทย นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และ ดร. มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ร่วมแลกเปลี่ยนในเวทีดังกล่าว ดำเนินรายการ โดย นายนครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร สำนักข่าว The Standard  

 

ในวงเสวนา ได้มีการกล่าวถึงกลไกเชิงสถาบันที่มีการดำเนินการไปแล้ว และอยู่ระหว่างการผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ในด้านการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนผ่านกรอบกฎหมายที่มีความชัดเจนและเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ การเสริมสร้างขีดความสามารถของสถาบัน เพื่อยกระดับกระบวนการยุติธรรมและการระงับข้อพิพาทให้มีประสิทธิผลและเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจและสังคม การส่งเสริมธรรมาภิบาลและต่อต้านการทุจริต ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่โปร่งใสและมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และการส่งเสริมหุ้นส่วนภาครัฐและเอกชน (PPP) เพื่อการผนึกกำลังขับเคลื่อนการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืน

 

ทิศทางข้างหน้า: การบูรณาการหลักนิติธรรมเพื่อนโยบายเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

 

 

ก่อนจะเข้าสู่ช่วงท้ายของการประชุมโดย ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง ร่วมกล่าวปิด โดยระบุว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีการชะลอตัว โดยคาดการณ์ว่าไตรมาส 4 จะเติบโตเพียง 0.3% และเสี่ยงที่จะติดลบหากไม่มีมาตรการกระตุ้น อันเนื่องมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ การเติบโตที่ช้าลง ปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ SME และหนี้สาธารณะ) และการมีความเหลื่อมล้ำสูงในสังคม ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องดำเนินการแก้ไข โดยรัฐบาลได้ประกาศแผนกู้วิกฤตเศรษฐกิจใน 4 เดือน ภายใต้หลักการ "กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว" ประกอบด้วย 5 เสาหลัก คือ การกระตุ้นระยะสั้น การแก้หนี้ ส่งเสริมการออม เพิ่มสภาพคล่อง SME และส่งเสริมการลงทุน

 

การประชุมเวทีเสวนาในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม รวมกว่า 200 คน

 

Exclusive! เตรียมเปิดผลสำรวจหลักนิติธรรม WJP ปี 2568 พร้อมรายงานเจาะลึกประเทศไทย

 

ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568 The World Justice Project จะเปิดเผยรายงานดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม ประจำปี 2568 ของ 142 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ที่น่าสนใจคือรายงานฉบับนี้จะเป็นรายงานที่รวมผลการประเมินประสบการณ์และการรับรู้ของผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย (Qualified Respondents’ Questionnaires - QRQs) ร่วมกับการประเมินประสบการณ์และการรับรู้ของประชาชน (General Population Poll - GPP) ในประเทศไทย ที่ทำการสำรวจในปี พ.ศ. 2568 จึงเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่งว่าคะแนนดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมประเทศไทยในปีล่าสุดนี้จะสะท้อนความจริงและข้อบ่งชี้สำคัญ เพื่อการขับเคลื่อนหลักนิติธรรมในประเทศไปอย่างไรบ้าง

Back
chat