“เข้าเรือนจำ เพราะเข้าตาจน เงินหมดจนทำผิดพลาด ขอโอกาสใหม่เพื่อลูก”
บ่ายวันหนึ่งที่ จ.ราชบุรี เราไปที่บ้านของจอย ผู้หญิง อายุ 30 ปี ผิวคล้ำๆ พูดเร็ว เธอและครอบครัวนั่งรอเราอยู่ตรงม้าหินอ่อนหน้าบ้าน มีเพิงเล็กๆ ไว้เป็นที่ขายของ เธอบอกว่าดีใจมากที่เราไปเยี่ยมบ้านของเธอ แววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของจอย เป็นการกล่าวทักทายกับเราที่อบอุ่นที่สุด
ครอบครัวของจอยอาศัยอยู่กัน 6 คน คือ จอย สามี และลูกชาย 2 คน พวกเขาเรียกห้องที่มุงสังกะสีและฉาบปูนขึ้นมานั้นว่า บ้าน ส่วนอีกหลังที่อยู่ติดกัน เป็นที่พักของแม่ของสามีที่สายตามองเห็นเพียงข้างเดียว อาศัยอยู่กับลูกชายอีกคน
จอยมีพื้นเพเป็นคนกรุงเทพ ก่อนจะย้ายมาอยู่ราชบุรีตั้งแต่เด็ก มีชีวิตเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป จนกระทั่งอายุ 14 ปี ก็มาพบว่าแม่ของเธอป่วยด้วยโรคมะเร็งทำให้ครอบครัวเริ่มลำบาก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีถูกขายไปเพื่อนำเงินมารักษาแม่ ไม่ใช่เพียงค่ารักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่เธอสนใจทุกทางที่มีใครบอกว่าสามารถรักษามะเร็งได้ จอยก็จะพาแม่ไปทดลองรักษา แต่เพียง 1 ปี หลังจากรู้ว่าแม่ป่วย แม่ของจอยก็สู้กับโรคร้ายไม่ไหว
ชีวิตที่ไม่มีแม่ ..
ในแววตาของหญิงสาว บ่งบอกถึงความทุกข์ และความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเธอเล่ามาถึงชีวิตที่ขาดแม่ไป ด้วยวัยเพียง 15 ปี จนอายุ 17 ปี เธอได้เจอกับสามีคนนี้และตกลงที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน
ชีวิตครอบครัวของทั้ง 2 คน เริ่มต้นจากการทำงานรับจ้างทั่วไป จอยไปรับจ้างเป็นแคชเชียร์ร้านลาบเป็ดใกล้บ้าน พร้อมๆ ไปกับการทำงานรับจ้างทั่วไปด้วย แต่แม้จะทำงานหนักแค่ไหน เงินที่ได้มาก็มีพอเพียงแค่ประทังเลี้ยงปากท้อง 6 ชีวิตในบ้านไปวันๆ เท่านั้น ไม่มีเงินเหลือพอจะเก็บ
จุดเริ่มของความผิดพลาด
จุดพลิกผันในชีวิตของจอย เกิดขึ้นหลังจากมีคนชักชวนให้เธอเปิดร้านเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า เธอจึงตัดสินใจทำ เพราะหวังว่าชีวิตของลูกเธอจะดีกว่าที่เป็นอยู่ ช่วง 2 เดือนแรกของการเปิดร้านกิจการนี้สร้างรายได้เป็นไปตามที่คิดไว้ แต่เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 3 รายได้เริ่มไม่เพียงพอกับค่าเช่าที่ ยอดการซื้อของจากลูกค้า ก็ไม่เป็นไปตามเป้าในแต่ละเดือนของบริษัท เธอตัดสินใจขายลูกชิ้นทอดเพิ่มหน้าร้านเพียงเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้มีรายได้เพิ่ม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ แววตาของเธอบ่งบอกถึงความเจ็บช้ำ เสียงที่เปล่งออกมาเริ่มสั่นเครือ
“หนูพยายามแล้ว พยายามทุกอย่างที่จะหาเงิน เดินไปหาลูกค้าเองไม่รู้กี่ครั้ง ขอให้ช่วยหนูหน่อย จนวันหนึ่งลูกค้าบอกมาว่า เพิ่งซื้อของไปเองมีคนมาขายเหมือนกัน วันนั้นหนูจึงรู้ว่า เขาเอาลูกค้าหนูไปหมดแล้ว หนูเคยสงสัยว่าทำไมเอกสารที่หนูทำไปถึงตีกลับในช่วงใกล้ปิดยอดทุกครั้ง ทำไปเท่าไหร่ก็ไม่ผ่าน”
ชีวิตของจอยในเวลานั้น เหมือนเดินเข้าสู่ทางตันอีกครั้ง เธอนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรถึงจะหมุนเงินได้ทัน สุดท้ายเธอและสามีตัดสินใจนำแอร์ที่ร้านเครื่องหนึ่ง ไปฝากไว้กับคนที่เธอนับถือ เพื่อแลกกับเงินมาหมุนเวียนเพียง 10,000 บาท
ก้าวสู่ทางตัน
จอยและสามีถูกตำรวจจับด้วยข้อกล่าวหา “ขโมยของจากบริษัท” เธอเล่าต่อทั้งน้ำตาว่า “หนูเสียใจมาก หนูแค่ไม่มีเงินและขอฝากไว้ แต่หนูไม่ได้ฆ่าใคร” สองสามีภรรยาถูกตำรวจเข้ามาจับถึงบ้าน เธอเคยคิดว่า คนที่นับถือ ซึ่งรับฝากแอร์เครื่องนั้น จะเข้ามาช่วยเหลือและคงจะได้รับการประกันตัว แต่ในความเป็นจริง จอยถูกนำตัวไปเรือนจำทันทีในบ่ายวันนั้น
“สิ่งเดียวที่หนูรู้สึกตอนนั้นคือลูก ระหว่างทางที่จะไปเรือนจำ หนูจำได้เพียงแค่มองหาโรงเรียนลูก หนูอยากกอดลูก อยากบอกลาลูกสักครั้ง” เธอเล่าว่าความรู้สึกของเธอในเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิต
หัวใจของจอยยิ่งตกต่ำลงไปมากขึ้นเมื่อมองเห็นประตูเรือนจำ ก้าวแรกที่ก้าวเข้าไปในเรือนจำเธอจำได้เพียงว่า เธอรู้สึกไม่เหลืออะไรแล้ว “มันคิดไปหมด เราเคยมีความคิดต่อคนติดคุก พอมาวันนี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเป็นเรา หนูคิดอะไรไม่ออก เหมือนชีวิตไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”
ตลอดระยะเวลาของการอยู่ในเรือนจำ แม้ความหวังในชีวิตจะหมดไปแล้ว แต่ด้วยความสงสารลูกที่ต้องมาเยี่ยมแม่ของพวกเขาในเรือนจำ และครั้งหนึ่งที่ลูกชายถามเธอว่า “แม่เป็นอย่างไรบ้าง ผมคิดถึงแม่ อยากกอดแม่ แม่อดทนเดี๋ยวก็ได้ออกมาแล้ว คนอื่นเขาลำบากกว่านี้มีเยอะแยะ” ทำให้จอยมีแรงฮึดจากความอดสูและหมดหวังในชีวิตของตัวเอง
จอยร้องไห้ คำพูดนั้นถูกเอ่ยขึ้นพร้อมน้ำตาเต็มใบหน้า “วันนั้นหนูบอกตัวเองว่าหนูจะต้องเข้มแข็ง”
ครอบครัวและเพื่อน คือ แสงแรกหลังกำแพง
ในวันที่ออกมาจากเรือนจำ เธอเล่าถึงความรู้สึก “กลัว” ที่อยู่ลึกๆ ภายในจิตใจ เธอบอกว่าเธอไม่รู้เลยว่าผ่านมา 8 เดือน โลกภายนอกจะเป็นอย่างไร เธอไม่ได้ติดต่อใครเลย เพื่อนที่เคยเป็นเพื่อนเขายังจะเป็นเพื่อนของเราอยู่ไหม
สองสามี-ภรรยา ลองขับมอเตอไซด์ออกจากบ้าน เพื่อดูว่าคนอื่นมองพวกเขาอย่างไร และความรู้สึกที่ได้รับกลับมาในวันนั้น ทำให้ทั้งคู่ต้องอยู่กลับไปอยู่แต่ภายในบ้านถึง 2 เดือน เธอไม่กล้าออกไปไหน แต่จอยจะอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้ เธอตัดสินใจก้าวออกจากความกลัว ลองส่งข้อความไปหาเพื่อน คำตอบที่ได้รับในครั้งนั้น เปลี่ยนแปลงความกลัวของเธอในที่สุด
“พวกเราคิดถึงแก ไม่ต้องกลัว แค่นี้เอง คนอื่นเขายิ่งกว่านี้เขายังอยู่ได้”
จอยตัดสินใจออกไปทำงานอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานรับจ้างอะไร เธอและสามีก็รับหมด จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ การแพร่ระบาดของโควิด19 ที่ทำให้เธอและครอบครัวได้รับเงินเยียวยา จึงตัดสินใจใช้เงินก้อนนี้เพื่อลงทุนขายของ
เงินเยียวยาจากโควิด-19 ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องทำน้ำปั่น และใช้ลงทุนทำลูกชิ้นทอด จอยพยายามหาสูตรอาหารทุกอย่างใน YouTube จนค้นพบสูตรทำแซนวิชทอด ขนมที่เธอใช้วิธีการให้ลูกติดตัวเอาไปขายเพื่อนที่โรงเรียน เล่ามาถึงตรงนี้ รอยยิ้มสดใสกลับมาอีกครั้ง “หนูก็ถามลูกก่อน ว่าอายเขาไหม ลูกบอกว่าไม่ หนูก็เลยทำขาย” แซนวิชทอดขายดีมากๆ เด็กๆ ชอบ ลูกของจอยก็ชอบด้วย
นอกจากค้าขายแล้ว เธอยังรับจ้างทำความสะอาดรีสอร์ท หรือ รับจ้างลงต้นไม้อีกด้วย เธอมีรายได้ที่หามาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอแม้จะเป็นรายได้ที่ยังไม่ทำให้เธอมีเงินเก็บ แต่การเป็นเจ้าของร้านที่แม้ตอนนี้จะยังเป็นเพียงร้านเล็กๆ แต่เธอก็หวังว่าเธอจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
จอย เป็นหนึ่งในอดีตผู้ต้องขัง ที่ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ “Street Food สร้างโอกาส” และความพยายามและความตั้งใจที่จะสร้างชีวิตใหม่ของเธอและครอบครัว ทำให้เธอได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมอบรมสูตรอาหาร และหลักการการทำอาหารสะอาดและปลอดภัย พร้อมได้สิทธิรับรถเข็น Hygiene Street Food จากความร่วมมือของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กรมราชทัณฑ์ และโครงการกำลังใจในพระดำริ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เพื่อให้เธอเป็นหนึ่งใน ผู้ที่เคยก้าวพลาด ได้โอกาสในการสร้างชีวิตใหม่ มีครอบครัวที่ดี คืนคนคุณภาพและครอบครัวคุณภาพสู่สังคม
จอย มั่นใจว่า โอกาสและสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ผ่านโครงการ จะสร้างชีวิตใหม่ให้เธอและครอบครัว