ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำความผิดหญิง (United Nations Rules for the Treatment of Women Prisoners and Non-custodial Measures of Women Offenders) หรือ “ข้อกำหนดกรุงเทพ” (The Bangkok Rules) ได้รับการลงมติจากที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติและประกาศเป็นข้อกำหนดสหประชาชาติ ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ในโอกาสครบรอบ 15 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพ TIJ จึงได้ร่วมกับ UNODC เปิดการประชุมนานาชาติ “จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ: 15 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพและอนาคตของกระบวนการยุติธรรมที่สนองตอบต่อเพศภาวะ” (From Vision to Action: 15 Years of the Bangkok Rules and the Future of Gender-Responsive Criminal Justice) โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงให้เป็นมากกว่ากฎระเบียบที่นานาประเทศยอมรับ แต่ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ระดับโลก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ที่อาคาร TIJ กรุงเทพฯ
“กระบวนการยุติธรรมที่คำนึงถึงเพศภาวะมิใช่เพียงเรื่องของความถูกต้องตามหลักการเท่านั้น แต่คือรากฐานสำคัญของการสร้างสันติภาพ การมีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่ม และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (United Nations Sustainable Development Goals หรือ SDGs)”
นั่นคือสาระสำคัญของการประชุมในวาระครบรอบ 15 ปี พร้อมกับการเปิดตัวโครงการ Bangkok Rules Accelerator จุดยืนใหม่ของ "ข้อกำหนดกรุงเทพ" ในฐานะส่วนสำคัญของการ “ขับเคลื่อนระเบียบวาระโลก (Global Agenda)” โดยเฉพาะวาระสตรี สันติภาพ และความมั่นคง (Women, Peace and Security agenda หรือ WPS agenda) โดยได้รับเกียรติจาก นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกุล กล่าวปาฐกถาเปิดงาน
"ผู้ต้องขังหญิง" ความท้าทายระดับนานาชาติ


“ในช่วงหนึ่งทศวรรษครึ่งที่ผ่านมา ข้อกำหนดกรุงเทพได้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำกฎหมายและแนวปฏิบัติทั่วโลก ข้อกำหนดยังสะท้อนวาระแห่งชาติของไทยที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างหลักนิติธรรมและการรับรองว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาของเรามีความเป็นธรรม ได้สัดส่วน และมีประสิทธิภาพ หลักการเหล่านี้สำคัญยิ่งไม่เพียงต่อความยุติธรรม แต่มีผลต่อความเข้มแข็งของชาติ ความสงบสุข และการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม” นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกุล กล่าวในปาฐกถาเปิดงาน
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันพบอุปสรรคและความท้าทายจากจำนวนผู้ต้องขังหญิงที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การมุ่งเน้นการใช้โทษจำคุกกับคดีที่ปราศจากความรุนแรงหรือเพราะความยากจน ทำให้เห็นว่ายังมีช่องโหว่ในการป้องกัน คุ้มครอง และสนับสนุนผู้หญิง
“ประเทศไทยและ UNODC จึงภูมิใจที่จะนำเสนอโครงการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อกำหนดกรุงเทพ โครงการระดับโลกที่ออกแบบเพื่อแปลงวิสัยทัศน์แห่งข้อกำหนดกรุงเทพให้เป็นการดำเนินการอย่างบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ อันจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมในอีกห้าปีข้างหน้า และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
_251213_3.jpg)
จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ
ด้าน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการ TIJ กล่าวในปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “From Vision to Action – 15 Years of the Bangkok Rules” ถึงจุดเริ่มต้นและพัฒนาการของข้อกำหนดกรุงเทพ ซึ่งเริ่มจากแรงบันดาลใจจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ใน พ.ศ. 2544 หลังจากทรงพบเห็นถึงสภาพปัญหาของผู้ต้องขังหญิงที่เป็น “ผู้เปราะบาง” และ “ผู้ถูกลืมในเรือนจำ” ด้วยเป็นสถานที่ที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อสนองตอบต่อเพศภาวะของผู้หญิง กระทั่งเกิดเป็นโครงการกำลังใจ ในพระราชดำริ พ.ศ. 2549 ตามด้วยการจัดตั้งโครงการ Enhancing Life of Female Inmate (ELFI) โครงการจัดทำข้อเสนอการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้หญิงในเรือนจำในนามประเทศไทย เพื่อผลักดันให้เป็นข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ
ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำความผิดหญิงได้รับการประกาศให้เป็นข้อกำหนดสหประชาชาติในชื่อ “ข้อกำหนดกรุงเทพ” เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศไทย ใน พ.ศ. 2553 โดยเป็นข้อกำหนดแรกของโลกที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดความยุติธรรมที่คำนึงถึงเพศสภาพ
“‘ข้อกำหนดกรุงเทพ’ สร้างขึ้นจากความเมตตา ความร่วมมือ และความศรัทธาร่วมกันในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ข้อกำหนดนี้ได้พลิกโฉมบทสนทนาในเวทีโลก ส่งผลต่อการตรากฎหมายภายในของนานาประเทศ และปฏิรูปความเข้าใจที่ทั่วโลกมีต่อเส้นทางชีวิตและปัจจัยที่ผลักดันให้ผู้หญิงก้าวเข้าสู่การกระทำผิด”
ประธานกรรมการ TIJ กล่าวด้วยว่า ข้อกำหนดกรุงเทพในปัจจุบันทำหน้าที่มากกว่าแค่การวางมาตรฐาน แต่ได้สร้างจุดเปลี่ยนทางกระบวนทัศน์ในระดับโลก ด้วยการนำ ‘ผู้หญิง’ ทั้งในมิติของประสบการณ์ ความเปราะบาง และพลังความเข้มแข็งของพวกเธอ เข้ามาเป็นศูนย์กลางของการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ในแบบที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน

"เรารู้ดีว่าเมื่อขาดงบประมาณ สิทธิและกฎหมายด้านสตรีก็ไม่ต่างจากตัวอักษรบนกระดาษ หากไม่มีการสนับสนุนทางการเงินอย่างเพียงพอ ระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อมอบความยุติธรรมให้ผู้หญิงก็ไม่อาจทำงานได้จริง” ดร.พาสซิลี โทเลโด เวสเกซ สมาชิกคณะกรรมการ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (UN CEDAW) และอาจารย์พิเศษด้านเพศและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มหาวิทยาลัย Pompeu Fabra กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Beyond 2025: Strengthening Access to Justice and Support for Women in the Criminal Justice System”
ดร. เวสเกซ กล่าวในรายละเอียดว่า การผลักดันให้กระบวนการยุติธรรมเพื่อผู้หญิงเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนได้จำเป็นต้องดำเนินการใน 3 มิติ ได้แก่
1. การจัดการกับช่องโหว่ในกระบวนการยุติธรรม โดยระบุถึงข้อเสนอแนะทั่วไปของอนุสัญญา CEDAW ข้อที่ 33 ว่าด้วยการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิง ซึ่งพบว่ามีประเด็นการเลือกปฏิบัติทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยยกตัวอย่างว่าผู้หญิงมักจะถูกจำคุกในคดีความที่โทษไม่รุนแรงและเกี่ยวข้องกับความยากจน
2. การสนับสนุนให้ข้อกำหนดกรุงเทพเป็นหนึ่งในกลไกของการปฏิบัติตามอนุสัญญา CEDAW ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อประเทศสมาชิกนั้น เพื่อทำให้แต่ละประเทศมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติต่อตามอนุสัญญาฯ
3. การเร่งระดมการลงทุนทั้งด้านทรัพยากรและงบประมาณอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาความอคติและการถูกลืมของผู้ต้องขังหญิง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักให้ขาดแคลนงบประมาณในการให้การช่วยเหลือผู้หญิงในกระบวนการยุติธรรมทั้งด้านความช่วยเหลือทางกฎหมาย การอบรมเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจความแตกต่างระหว่างเพศ การติดตามตรวจสอบ การใช้มาตรการแทนการคุมขัง การฟื้นฟูและเยียวยา เป็นต้น เพื่อให้สามารถคืนสู่สังคมได้อย่างยั่งยืน
ความร่วมมือเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนด้านสิทธิผู้หญิงในเรือนจำ
_251212_4.jpg)
ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ กล่าวถึงการจัดงานประชุมนานาชาติในครั้งนี้ว่านอกจากจะเป็นการครบรอบ 15 ปี ของข้อกำหนดสหประชาชาติข้อกำหนดแรกเพื่อสิทธิของผู้หญิงในเรือนจำและผู้กระทำผิดหญิงแล้ว ยังเป็นพื้นที่เพื่อการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางในการพัฒนาการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ การปกป้องคุ้มครอง รวมทั้งการสร้างความสงบสุขและเสถียรภาพให้แก่สังคม และที่สำคัญคือการเปิดตัวโครงการ Bangkok Rules Accelerator เพื่อให้การเกิดการนำข้อกำหนดกรุงเทพไปใช้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนต่อไป
“ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณ UNODC ในฐานะผู้คุมกฎและเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าของกระบวนการยุติธรรมที่ตอบสนองต่อเพศภาวะทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนสมาชิกประเทศให้นำข้อกำหนดกรุงเทพไปใช้ และสร้างพื้นที่ในการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้ข้อกำหนดนี้ได้รับการนำไปปฏิบัติ รวมทั้งขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนตลอดมา เห็นได้จากความพยายามของรัฐบาลไทยในการนำนโยบายยุติธรรมที่สนองตอบต่อเพศภาวะทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ”

ในโอกาสนี้ นางสาวเดลฟีน ชานท์ส ผู้แทน UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ได้ร่วมกล่าวปิดงานด้วย
สำหรับโครงการ Bangkok Rules Accelerator หรือ “โครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามข้อกำหนดกรุงเทพ” เป็นโครงการระดับโลกที่สนับสนุนการขับเคลื่อนข้อกำหนดกรุงเทพอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถวัดผลได้ โดยจะเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการนำข้อกำหนดกรุงเทพไปปฏิบัติ ด้วยการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค การให้คำปรึกษาเชิงนโยบาย และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร แก่ประเทศนำร่องที่มุ่งมั่นพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ตอบสนองต่อมิติทางเพศภาวะ อีกทั้งมุ่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา นักวิชาการ และภาคีเครือข่ายด้านการพัฒนา เพื่อร่วมกันพัฒนามาตรการที่มิใช่การคุมขัง การฟื้นฟูและการกลับคืนสู่สังคม และการออกแบบนโยบายที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์
_251212_5.jpg)
_copy.jpg)
_3.jpg)
ในการประชุมดังกล่าว ยังได้มีการจัดเสวนาหัวข้อหลัก “ข้อกำหนดกรุงเทพในบริบทโลก: การสร้างกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ตอบสนองต่อเพศภาวะเพื่อสันติภาพและความยั่งยืน” ซึ่งเน้นย้ำถึงการเชื่อมโยงหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนเข้ากับมิติการพัฒนามนุษย์อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความคิดเห็น ดังนี้
- The Bangkok Rules in the Context of Crime Prevention and Criminal Justice โดย ดร. แมตตี จูทเซ่น, Former Director of the European Institute for Crime Prevention and Control, affiliated with the United Nations (HEUNI), and Advisor at the Thailand Institute of Justice (TIJ)
- From Poverty to Punishment and Community-Based Justice for Women Offender โดย ซาบรีนา มาตานี, Founder, Women Beyond Walls
- The Bangkok Rules Through a Women, Peace and Security (WPS) Lens โดย ทารีด เจเบอร์, Regional Director for Middle East and North Africa, Penal Reform International (PRI)
ดำเนินรายการโดย ดร. ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว สำนักข่าว THE STANDARD


ก่อนจะถึงช่วงเวลาสำคัญ นางสาวชลธิช ชื่นอุระ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมข้อกำหนดกรุงเทพและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย และ คลอเดีย บาโรนี Team Leader, Gender in Criminal Justice, United Nations Office on Drugs and Crime (UNODC) ได้ร่วมกันเปิดตัวโครงการ Bangkok Rules Accelerator และแนวทางการดำเนินงานกับภาคีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยย้ำถึงกระบวนการยุติธรรมที่คำนึงถึงเพศภาวะมิใช่เพียงเรื่องของความถูกต้องตามหลักการเท่านั้น แต่คือรากฐานสำคัญของการสร้างสันติภาพ การมีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่ม และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (United Nations Sustainable Development Goals หรือ SDGs)
_251212_10.jpg)
_251212_8.jpg)