“คอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”
ข้อความนี้ สามารถหยิบยกขึ้นมาให้เป็นฉันทามติของประเทศไทยได้ทันทีถ้าถูกตั้งโจทย์ผ่านเจตจำนงของผู้ที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบันยังติดอยู่ในวังวนที่หาทางออกจากปัญหาคอร์รัปชันได้ยาก โดยมีหลักฐานสำคัญ คือ ตัวเลขดัชนีชี้วัดการคอร์รัปชันที่ประเทศไทยมีคะแนนย่ำแย่ หรือแม้แต่ตัวเลขดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม Rule of Law Index ที่ประเทศไทยยังได้คะแนนตกต่ำลงจากตัวชี้วัด “ปราศจากคอร์รัปชัน”

ถ้าคอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ... ก็ต้องออกแบบระบบที่ทำให้คอร์รัปชันได้ยาก ... เปลี่ยนจากการ “วิ่งไล่ตามจับคนทุจริต” ไปเป็นการ “ปิดช่องทางการทุจริต” นี่เป็นประเด็นสำคัญในการเสวนาหัวข้อ “The Trust Blueprint: Designing Integrity for Thailand’s Future พิมพ์เขียวแห่งความเชื่อมั่น ออกแบบอนาคตไทยไร้คอร์รัปชัน” ดำเนินรายการโดย นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด ซึ่งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ ร่วมจัดขึ้นในเวที The Standard Economic Forum เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568
*******
ถึงเวลาสร้าง Rule of Law National Blueprint ออกแบบระบบเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ สกัดทุนคอร์รัปชันซื้อประเทศไทย
“เราอยู่ในระบบที่คนโกงอยู่รอดมาได้อย่างยาวนานโดยไม่ถูกลงโทษได้อย่างไร และถ้าปล่อยไปเรื่อย ๆ ประเทศจะถูกซื้อด้วยทุนจากการโกง เป็น State Capture ดังนั้น เราต้องออกแบบระบบที่โกงได้ยากด้วย Integrity by Design”


ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ ชี้ให้เห็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทยที่ปล่อยให้การคอร์รัปชันเข้ามาฝังตัวในเชิงโครงสร้างต่าง ๆ ของประเทศอย่างยาวนาน เพราะเหตุผลสำคัญ คือ ไม่มีเจตจำนงทางการเมืองที่ทำให้ข้อมูลภาครัฐถูกเปิดเผยให้ประชาชนร่วมตรวจสอบได้อย่างเป็นระบบ
นโยบายของอดีตประธานาธิบดี Barack Obama ของสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างที่ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง นั่นคือแนวคิดว่ารัฐต้องเปิดเผยข้อมูลเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น โดยใช้ระบบ machine readable ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ พร้อมอธิบายว่า ในยุคปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาใช้เชื่อมต่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น ถ้าภาครัฐมีเจตจำนงที่พร้อมเปิดข้อมูล ก็สามารถสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมขึ้นได้
ประธานกรรมการ TIJ ยังยกตัวอย่างว่า แม้ในปัจจุบันจะมีความพยายามจากภาคเอกชนที่ทำงานตรวจสอบคอร์รัปชัน หรือแม้แต่หน่วยงานท้องถิ่นอย่างกรุงเทพมหานคร พยายามสร้างระบบการเปิดเผยข้อมูลขึ้นมา แต่ก็เป็นแบบ pilot project จำเป็นจะต้องยกระดับขึ้นไปเป็นระบบที่มาจากนโยบายรัฐ เพราะปัญหาคอร์รัปชัน เกิดจากการที่ระบบโครงสร้างต่าง ๆ กำลังมีอาการป่วยเรื้อรัง
“ที่สำคัญต้องมองต่อไปว่า แม้การออกแบบระบบที่โกงยาก หรือ Integrity by design จะช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีคนทำจริงจัง หรือหากจับการทุจริตได้แล้วแต่ไม่ลงโทษจะเป็นอย่างไร”
“การจะขยายผลให้ใหญ่ขึ้น เราสามารถใช้มาตรฐานระหว่างประเทศ หรือ กทม. เป็นต้นแบบได้ หากได้รับการส่งเสริมเป็นระบบจริงก็พัฒนาต่อได้ หากพัฒนาระบบ Open Contracting Data Standard (OCDS) ของกรมบัญชีกลางให้เป็นสากล ในไม่ช้า OECD ก็จะมาสแกนระบบของเรา ดังนั้นเราต้องเลือกต้นแบบหน่วยงานที่พร้อมเพื่อต่อยอด เช่น กรมบัญชีกลาง หรือระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ก็อาจจะยกขึ้นเป็น priority ได้”

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ บอกว่า Political View ของประเทศไทย ในการจัดการกับปัญหาคอร์รัปชันยังไม่เพียงพอ ยังไม่มีเจตจำนงชัดเจน ไม่มีนโยบายชัดเจนแสดงให้เห็นความล้มเหลวของระบบภาครัฐ โดยยกตัวอย่างจากการประชุมของสภาการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อเดือนกันยายน 2568 ที่ระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจไทยเกิดจากปัจจัยภายในมากกว่าปัจจัยภายนอก จึงจำเป็นต้องยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย ทั้งด้านหลักนิติธรรม ความเป็นประชาธิปไตย และหลักธรรมาภิบาล พร้อมกันนี้ยังได้เปิดเผยว่า TIJ กำลังจับมือกับหลายหน่วยงานเพื่อจัดทำ Rule of Law National Blueprint ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือให้รัฐบาลนำไปใช้ในการพัฒนายกระดับหลักนิติธรรมของประเทศ โดยเชื่อว่าจะสามารถทำได้ในอีก 2-3 เดือนนับจากนี้
“หลักนิติธรรม ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง แต่เราอาจจะมองไม่เห็น แต่ถ้าหลักนิติธรรมไม่ดีประเทศก็จะอยู่ยากมาก ๆ อย่างล่าสุด ภาคเอกชน 3 สถาบัน ทั้งสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย ก็ประกาศแล้วว่าจะไม่ทนกับปัญหาคอร์รัปชันอีกต่อไป จึงถือโอกาสที่ดีของประเทศไทย และถือเป็นแนวร่วมให้ TIJ เดินหน้าในช่วง 2-3 เดือนนี้ เพื่อจัดทำ blueprint roadmap rule of law ขึ้นมาโดยเฉพาะ”

ประธานกรรมการ TIJ ย้ำว่า ถ้าการคอร์รัปชันเป็นระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศเราอาจจะถูกซื้อด้วยทุนจากคนโกง ดังนั้นเราจะปักหมุดไว้แค่การซ่อมแซมบางส่วนไม่ได้ เราจึงต้องสร้าง Integrity by Design ออกแบบระบบที่เอื้อให้การทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำได้ง่ายกว่าการโกง
“การจะเริ่มเดินหน้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องรอความพร้อม ถ้าเราต้องไม่ทนต่อความผิดปกติเช่นนี้ และลงมือทำทันที เราจะมีโอกาสทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้จริง”
*********
ข้อมูลรัฐยังไม่เปิด ที่เปิดแล้วก็ไม่เชื่อมโยงกัน ไล่จับทุจริตยาก เหตุที่ต้องออกแบบระบบให้โกงยาก

รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค หรือ KRAC เปิดเผยผลการทำงานของศูนย์ KRAC ที่พยายามผลักดันประเด็นการเปิดเผย 25 ชุดข้อมูลภาครัฐในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และทำให้พบปัญหาสำคัญที่ตอกย้ำว่า ประเทศไทยยังขาดการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญต่อการสร้างกลไกการมีส่วนร่วมตรวจสอบคอร์รัปชันจากภาคประชาชน และแม้แต่ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงกันให้ตรวจสอบได้ง่าย ทั้งเข้าถึงยาก ไม่เป็นปัจจุบัน มีระยะเวลาจำกัดในการเปิดเผย ไม่สามารถติดตามย้อนหลังได้ ไม่มีระบบ Machine Readable เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ในเชิงโครงสร้าง เราจึงจำเป็นต้องไปสู่แนวคิด Integrity By Design คือ ต้องออกแบบระบบที่ปิดช่องทางการโกงแทนการวิ่งไล่จับคนโกง
“หากดูตาม open data charter ก็จะมี 25 ชุดข้อมูลภาครัฐที่ต้องเปิดเผยตามหลักสากล และข้อมูลเหล่านี้ต้องสามารถนำมาเชื่อมโยงกันได้ เช่น ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐโครงการหนึ่ง มีผู้เสนอราคา 3 บริษัท ที่เสนอราคาใกล้เคียงกันมาก และเมื่อตรวจสอบในเชิงลึกก็จะพบว่า ทั้ง 3 บริษัท มีผู้ถือหุ้นรายเดียวกัน แต่ปัญหา คือ เราเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ยาก เพราะระบบฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างอยู่ในกรมบัญชีกลาง แต่ระบบฐานข้อมูลผู้ถือหุ้นในบริษัทอยู่ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และทั้ง 2 ส่วนไม่เชื่อมโยงกัน นี่เป็นตัวอย่างว่า ถ้าสามารถเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลได้ เราก็จะเห็นได้ทันทีว่าโครงการนี้มีความเสี่ยงทุจริต”

ผู้อำนวยการศูนย์ KRAC ย้ำด้วยว่า หลายโครงการที่ถูกตรวจพบว่ามีการทุจริต หรือมีหลายโครงการที่สามารถยับยั้งโครงการได้ก่อนที่จะเกิดการทุจริต เกิดจากการที่ผู้บริหารหน่วยงานนั้นมีนโยบายชัดเจนในการเปิดเผยข้อมูล ดังนั้นถ้าสามารถทำให้ทุกหน่วยงานเปิดเผยข้อมูลได้ ก็จะลดการทุจริตลงไปได้มาก
*********
เปิดข้อมูล กทม. สู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบทำงาน ตัดเส้นทางคอร์รัปชัน

ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานท้องถิ่นที่พยายามพัฒนาระบบการเปิดเผยข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ ระบุว่า กทม.ได้วิเคราะห์ไปที่ปัจจัย 3 ตัว ที่ทำให้พบการทุจริตมากในหน่วยงาน คือ การบริการประชาชน การจัดซื้อจัดจ้าง และการเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่
ปัจจัยแรก การบริการประชาชน แก้ปัญหาด้วยการปรับช่องทางขออนุญาตหรือการร้องเรียนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขอก่อสร้าง การจองบริการเป็นระบบออนไลน์ ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งเปลี่ยนช่องทางการจ่ายเงินแม้แต่การจ่ายค่าเก็บขยะ ก็เข้าสู่ระบบออนไลน์แทนการจ่ายเงินสด
การจัดซื้อจัดจ้าง แก้ปัญหาด้วยการเปิดเผยเอกสารรายละเอียดโครงการ เปิดเผยการเปรียบเทียบราคากลางโดยทำงานร่วมกับระบบ Open Contracting Data Standard (OCDS) ของกรมบัญชีกลาง
ส่วนการเรียบรับประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ มีตัวอย่างการแก้ปัญหาคือ การนำกลุ่มหาบเร่แผงลอยเข้าสู่ระบบของธนาคารกรุงไทย ช่วยลดปัญหาการถูกเรียกเก็บเงินจากเทศกิจ
โดยสรุป เรื่องร้องเรียนเวลามีการร้องเรียนไม่ใช่จะบอกว่าผิดได้ทันที ที่พยายามทำคือให้มี standard lead time การร้องเรียน เพื่อตรวจสอบ และลงโทษทางวินัย ช่วยให้เกิดการลงโทษได้มากขึ้นและจับผู้ทุจริตได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันจับได้ 38 ราย
“ในกรณีของกรุงเทพมหานคร เราพบว่า ระบบเดิมมันค่อนข้างแข็งตัว การทุจริตจึงเกิดขึ้นง่ายเพื่อให้มีกระบวนการอำนวยความสะดวกบางอย่าง การเปิดเผยข้อมูล ทำให้มีคนช่วยจับตาดูอยู่เสมอ ทำให้เราได้เห็นโครงการต่าง ๆ ที่เสี่ยงจะมีการทุจริต แต่เราคงไม่สามารถจับการทุจริตได้ ถ้าข้อมูลไม่เชื่อมโยงกัน”

รองผู้ว่า กทม. เห็นด้วยว่า การใช้หลัก Integrity by Design คือ การออกแบบให้หน่วยงานรัฐสามารถทำสิ่งที่ถูกต้องได้ง่ายกว่าการทำความผิด ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะพาประเทศไทยออกจากวงจรการคอร์รัปชัน
*********
OECD ย้ำ ถึงเวลาประเทศไทยควรลงทุนกับการพัฒนาหลักนิติธรรม เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

ในงานเดียวกัน Mary Beth Goodman รองเลขาธิการ OECD และ John Nery คณะกรรมการ The World Justice Project ร่วมกล่าวเปิดเน้นย้ำถึงความสำคัญของหลักนิติธรรมที่มีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศ
ในโอกาสนี้ Mary Beth Goodman ย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรลงทุนกับการพัฒนาหลักนิติธรรม เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
“หลักนิติธรรมนั้นเหมือนเป็นระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่ช่วยให้ผู้คนและภาคธุรกิจต่าง ๆ สามารถวางแผน ลงทุน และสร้างนวัตกรรมได้อย่างมั่นใจ เพราะเมื่อมีกฎกติกาที่ชัดเจน บังคับใช้อย่างเป็นธรรม ข้อพิพาทได้รับการสะสางอย่างมีประสิทธิภาพ และสิทธิได้รับการคุ้มครอง ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้ชัดเจนก็คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่จะตามมา ตรงข้ามกับเมื่อกฎกติกาไม่ชัดเจน ความเชื่อมั่นก็จะลดลง ต้นทุนสูงขึ้น และกลายเป็นอุปสรรคแทนที่จะเป็นโอกาส”

WJP เผย ภาพรวมคะแนนหลักนิติธรรมโลกลดลง ไทยดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก

ในโอกาสนี้ John Nery เปิดเผยถึงรายงานดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมปี 2025 ที่จัดทำโดย WJP โดยระบุว่า เป็นปีที่สถานการณ์หลักนิติธรรมทั่วโลกตกต่ำลงอย่างน่าเป็นห่วง มีถึง 63% ของประเทศที่เข้าร่วมการวัดผลได้คะแนนหลักนิติธรรมลดลง ในขณะที่ปี 2024 มีเพียง 57% ที่ได้คะแนนลดลง
ผลการวัดในปี 2025 ยังแสดงให้เห็นถึงช่องว่างที่กว้างมากขึ้นระหว่างประเทศที่มีค่าคะแนนหลักนิติธรรมดีขึ้นกับประเทศที่มีหลักนิติธรรมลดลง โดยพบว่าในปีที่ผ่านมา ประเทศที่ได้ค่าคะแนนหลักนิติธรรมสูงขึ้นมีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นที่ 0.52% ในขณะที่ประเทศที่มีค่าคะแนนหลักนิติธรรมลดลงมีค่าเฉลี่ยลดลงถึง 1.07% ซึ่งสะท้อนว่าการสร้างหลักนิติธรรมนั้นเป็นงานที่ยากและต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ก็สามารถล้มเหลวได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน
ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมโลกเลวร้ายลงมาจากแนวโน้มการขยายตัวของแนวคิดอำนาจนิยม อย่างการจำกัดพื้นที่สาธารณะ และความอ่อนแอในระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล ซึ่งส่งผลให้ค่าคะแนนในตัวชี้วัดด้านการจำกัดอำนาจรัฐ รัฐบาลโปร่งใส และสิทธิขั้นพื้นฐาน ตกต่ำลง

ในขณะที่ดัชนีชี้วัดฯ ของประเทศไทย พบว่ามีค่าคะแนนรวมอยู่ที่ 0.50 จากคะแนนเต็ม 1 คะแนน แม้จะเป็นเป็นค่าคะแนนที่ถือว่าสูงขึ้นมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยมีค่าคะแนนสูงขึ้น 1% แต่ก็ยังมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 0.55 คะแนน จุดแข็งที่สุดของประเทศไทยอยู่ที่ตัวชี้วัดด้านความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงที่ค่า 0.75 ส่วนจุดอ่อนอยู่ที่การปราศจากการคอร์รัปชัน การบังคับใช้กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมทางอาญาซึ่งได้คะแนนเพียง 0.45, 0.45 และ 0.42 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมของ WJP เป็นข้อมูลทางสถิติตัวหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ประกอบการออกแบบ “ระบบ” หรือยกเครื่อง“โครงสร้าง” ของประเทศไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยในเวทีโลก รวมทั้งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการก้าวเข้าสู่การเป็นสมาชิกใหม่ของ OECD ในอนาคตอันใกล้
อ่านรายงานดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมของ The World Justice Project ปี 2025 ที่นี่ : TIJ ชวนส่องดูคะแนนตัวชี้วัดหลักนิติธรรม Rule of Law Index 2025