ยอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัว

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ (cookie) เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานและเพิ่มความพึงพอใจต่อการได้รับการเสนอข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตามนโยบายคุกกี้ของเรา

รายละเอียดเพิ่มเติม

“คอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”

 

ข้อความนี้ สามารถหยิบยกขึ้นมาให้เป็นฉันทามติของประเทศไทยได้ทันทีถ้าถูกตั้งโจทย์ผ่านเจตจำนงของผู้ที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบันยังติดอยู่ในวังวนที่หาทางออกจากปัญหาคอร์รัปชันได้ยาก โดยมีหลักฐานสำคัญ คือ ตัวเลขดัชนีชี้วัดการคอร์รัปชันที่ประเทศไทยมีคะแนนย่ำแย่ หรือแม้แต่ตัวเลขดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม Rule of Law Index ที่ประเทศไทยยังได้คะแนนตกต่ำลงจากตัวชี้วัด “ปราศจากคอร์รัปชัน”

 

 

ถ้าคอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ... ก็ต้องออกแบบระบบที่ทำให้คอร์รัปชันได้ยาก ... เปลี่ยนจากการ “วิ่งไล่ตามจับคนทุจริต” ไปเป็นการ “ปิดช่องทางการทุจริต” นี่เป็นประเด็นสำคัญในการเสวนาหัวข้อ “The Trust Blueprint: Designing Integrity for Thailand’s Future พิมพ์เขียวแห่งความเชื่อมั่น ออกแบบอนาคตไทยไร้คอร์รัปชัน” ดำเนินรายการโดย นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด ซึ่งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ ร่วมจัดขึ้นในเวที The Standard Economic Forum เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568

 

*******

 

ถึงเวลาสร้าง Rule of Law National Blueprint ออกแบบระบบเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ สกัดทุนคอร์รัปชันซื้อประเทศไทย

 

“เราอยู่ในระบบที่คนโกงอยู่รอดมาได้อย่างยาวนานโดยไม่ถูกลงโทษได้อย่างไร และถ้าปล่อยไปเรื่อย ๆ ประเทศจะถูกซื้อด้วยทุนจากการโกง เป็น State Capture ดังนั้น เราต้องออกแบบระบบที่โกงได้ยากด้วย Integrity by Design”

 

 

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ ชี้ให้เห็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทยที่ปล่อยให้การคอร์รัปชันเข้ามาฝังตัวในเชิงโครงสร้างต่าง ๆ ของประเทศอย่างยาวนาน เพราะเหตุผลสำคัญ คือ ไม่มีเจตจำนงทางการเมืองที่ทำให้ข้อมูลภาครัฐถูกเปิดเผยให้ประชาชนร่วมตรวจสอบได้อย่างเป็นระบบ

 

นโยบายของอดีตประธานาธิบดี Barack Obama ของสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างที่ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง นั่นคือแนวคิดว่ารัฐต้องเปิดเผยข้อมูลเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น โดยใช้ระบบ machine readable ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ พร้อมอธิบายว่า ในยุคปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาใช้เชื่อมต่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น ถ้าภาครัฐมีเจตจำนงที่พร้อมเปิดข้อมูล ก็สามารถสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมขึ้นได้  

 

ประธานกรรมการ TIJ ยังยกตัวอย่างว่า แม้ในปัจจุบันจะมีความพยายามจากภาคเอกชนที่ทำงานตรวจสอบคอร์รัปชัน หรือแม้แต่หน่วยงานท้องถิ่นอย่างกรุงเทพมหานคร พยายามสร้างระบบการเปิดเผยข้อมูลขึ้นมา แต่ก็เป็นแบบ pilot project จำเป็นจะต้องยกระดับขึ้นไปเป็นระบบที่มาจากนโยบายรัฐ เพราะปัญหาคอร์รัปชัน เกิดจากการที่ระบบโครงสร้างต่าง ๆ กำลังมีอาการป่วยเรื้อรัง

 

“ที่สำคัญต้องมองต่อไปว่า แม้การออกแบบระบบที่โกงยาก หรือ Integrity by design จะช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีคนทำจริงจัง หรือหากจับการทุจริตได้แล้วแต่ไม่ลงโทษจะเป็นอย่างไร”

 

“การจะขยายผลให้ใหญ่ขึ้น เราสามารถใช้มาตรฐานระหว่างประเทศ หรือ กทม. เป็นต้นแบบได้ หากได้รับการส่งเสริมเป็นระบบจริงก็พัฒนาต่อได้ หากพัฒนาระบบ Open Contracting Data Standard (OCDS) ของกรมบัญชีกลางให้เป็นสากล ในไม่ช้า OECD ก็จะมาสแกนระบบของเรา ดังนั้นเราต้องเลือกต้นแบบหน่วยงานที่พร้อมเพื่อต่อยอด เช่น กรมบัญชีกลาง หรือระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ก็อาจจะยกขึ้นเป็น priority ได้”

 

 

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ บอกว่า Political View ของประเทศไทย ในการจัดการกับปัญหาคอร์รัปชันยังไม่เพียงพอ ยังไม่มีเจตจำนงชัดเจน ไม่มีนโยบายชัดเจนแสดงให้เห็นความล้มเหลวของระบบภาครัฐ โดยยกตัวอย่างจากการประชุมของสภาการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อเดือนกันยายน 2568 ที่ระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจไทยเกิดจากปัจจัยภายในมากกว่าปัจจัยภายนอก จึงจำเป็นต้องยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย ทั้งด้านหลักนิติธรรม ความเป็นประชาธิปไตย และหลักธรรมาภิบาล พร้อมกันนี้ยังได้เปิดเผยว่า TIJ กำลังจับมือกับหลายหน่วยงานเพื่อจัดทำ Rule of Law National Blueprint ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือให้รัฐบาลนำไปใช้ในการพัฒนายกระดับหลักนิติธรรมของประเทศ โดยเชื่อว่าจะสามารถทำได้ในอีก 2-3 เดือนนับจากนี้

 

“หลักนิติธรรม ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง แต่เราอาจจะมองไม่เห็น แต่ถ้าหลักนิติธรรมไม่ดีประเทศก็จะอยู่ยากมาก ๆ อย่างล่าสุด ภาคเอกชน 3 สถาบัน ทั้งสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย ก็ประกาศแล้วว่าจะไม่ทนกับปัญหาคอร์รัปชันอีกต่อไป จึงถือโอกาสที่ดีของประเทศไทย และถือเป็นแนวร่วมให้ TIJ เดินหน้าในช่วง 2-3 เดือนนี้ เพื่อจัดทำ blueprint roadmap rule of law ขึ้นมาโดยเฉพาะ”

 

 

ประธานกรรมการ TIJ ย้ำว่า ถ้าการคอร์รัปชันเป็นระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเทศเราอาจจะถูกซื้อด้วยทุนจากคนโกง ดังนั้นเราจะปักหมุดไว้แค่การซ่อมแซมบางส่วนไม่ได้ เราจึงต้องสร้าง Integrity by Design ออกแบบระบบที่เอื้อให้การทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำได้ง่ายกว่าการโกง

 

“การจะเริ่มเดินหน้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องรอความพร้อม ถ้าเราต้องไม่ทนต่อความผิดปกติเช่นนี้ และลงมือทำทันที เราจะมีโอกาสทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้จริง”

 

*********

 

ข้อมูลรัฐยังไม่เปิด ที่เปิดแล้วก็ไม่เชื่อมโยงกัน ไล่จับทุจริตยาก เหตุที่ต้องออกแบบระบบให้โกงยาก

 

 

รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค หรือ KRAC เปิดเผยผลการทำงานของศูนย์ KRAC ที่พยายามผลักดันประเด็นการเปิดเผย 25 ชุดข้อมูลภาครัฐในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และทำให้พบปัญหาสำคัญที่ตอกย้ำว่า ประเทศไทยยังขาดการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญต่อการสร้างกลไกการมีส่วนร่วมตรวจสอบคอร์รัปชันจากภาคประชาชน และแม้แต่ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงกันให้ตรวจสอบได้ง่าย ทั้งเข้าถึงยาก ไม่เป็นปัจจุบัน มีระยะเวลาจำกัดในการเปิดเผย ไม่สามารถติดตามย้อนหลังได้ ไม่มีระบบ Machine Readable เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ในเชิงโครงสร้าง เราจึงจำเป็นต้องไปสู่แนวคิด Integrity By Design คือ ต้องออกแบบระบบที่ปิดช่องทางการโกงแทนการวิ่งไล่จับคนโกง

 

“หากดูตาม open data charter ก็จะมี 25 ชุดข้อมูลภาครัฐที่ต้องเปิดเผยตามหลักสากล และข้อมูลเหล่านี้ต้องสามารถนำมาเชื่อมโยงกันได้ เช่น ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐโครงการหนึ่ง มีผู้เสนอราคา 3 บริษัท ที่เสนอราคาใกล้เคียงกันมาก และเมื่อตรวจสอบในเชิงลึกก็จะพบว่า ทั้ง 3 บริษัท มีผู้ถือหุ้นรายเดียวกัน แต่ปัญหา คือ เราเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ยาก เพราะระบบฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างอยู่ในกรมบัญชีกลาง แต่ระบบฐานข้อมูลผู้ถือหุ้นในบริษัทอยู่ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และทั้ง 2 ส่วนไม่เชื่อมโยงกัน นี่เป็นตัวอย่างว่า ถ้าสามารถเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลได้ เราก็จะเห็นได้ทันทีว่าโครงการนี้มีความเสี่ยงทุจริต”

 

 

ผู้อำนวยการศูนย์ KRAC ย้ำด้วยว่า หลายโครงการที่ถูกตรวจพบว่ามีการทุจริต หรือมีหลายโครงการที่สามารถยับยั้งโครงการได้ก่อนที่จะเกิดการทุจริต เกิดจากการที่ผู้บริหารหน่วยงานนั้นมีนโยบายชัดเจนในการเปิดเผยข้อมูล ดังนั้นถ้าสามารถทำให้ทุกหน่วยงานเปิดเผยข้อมูลได้ ก็จะลดการทุจริตลงไปได้มาก

 

*********

 

เปิดข้อมูล กทม. สู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบทำงาน ตัดเส้นทางคอร์รัปชัน

 

 

ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานท้องถิ่นที่พยายามพัฒนาระบบการเปิดเผยข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ ระบุว่า กทม.ได้วิเคราะห์ไปที่ปัจจัย 3 ตัว ที่ทำให้พบการทุจริตมากในหน่วยงาน คือ การบริการประชาชน การจัดซื้อจัดจ้าง และการเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่

 

ปัจจัยแรก การบริการประชาชน แก้ปัญหาด้วยการปรับช่องทางขออนุญาตหรือการร้องเรียนต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นการขอก่อสร้าง การจองบริการเป็นระบบออนไลน์ ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งเปลี่ยนช่องทางการจ่ายเงินแม้แต่การจ่ายค่าเก็บขยะ ก็เข้าสู่ระบบออนไลน์แทนการจ่ายเงินสด

 

การจัดซื้อจัดจ้าง แก้ปัญหาด้วยการเปิดเผยเอกสารรายละเอียดโครงการ เปิดเผยการเปรียบเทียบราคากลางโดยทำงานร่วมกับระบบ Open Contracting Data Standard (OCDS) ของกรมบัญชีกลาง

 

ส่วนการเรียบรับประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ มีตัวอย่างการแก้ปัญหาคือ การนำกลุ่มหาบเร่แผงลอยเข้าสู่ระบบของธนาคารกรุงไทย ช่วยลดปัญหาการถูกเรียกเก็บเงินจากเทศกิจ

 

โดยสรุป เรื่องร้องเรียนเวลามีการร้องเรียนไม่ใช่จะบอกว่าผิดได้ทันที ที่พยายามทำคือให้มี standard lead time การร้องเรียน เพื่อตรวจสอบ และลงโทษทางวินัย ช่วยให้เกิดการลงโทษได้มากขึ้นและจับผู้ทุจริตได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันจับได้ 38 ราย

 

“ในกรณีของกรุงเทพมหานคร เราพบว่า ระบบเดิมมันค่อนข้างแข็งตัว การทุจริตจึงเกิดขึ้นง่ายเพื่อให้มีกระบวนการอำนวยความสะดวกบางอย่าง การเปิดเผยข้อมูล ทำให้มีคนช่วยจับตาดูอยู่เสมอ ทำให้เราได้เห็นโครงการต่าง ๆ ที่เสี่ยงจะมีการทุจริต แต่เราคงไม่สามารถจับการทุจริตได้ ถ้าข้อมูลไม่เชื่อมโยงกัน”

 

 

รองผู้ว่า กทม. เห็นด้วยว่า การใช้หลัก Integrity by Design คือ การออกแบบให้หน่วยงานรัฐสามารถทำสิ่งที่ถูกต้องได้ง่ายกว่าการทำความผิด ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะพาประเทศไทยออกจากวงจรการคอร์รัปชัน
 

 

*********

 

OECD ย้ำ ถึงเวลาประเทศไทยควรลงทุนกับการพัฒนาหลักนิติธรรม เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

 

 

ในงานเดียวกัน Mary Beth Goodman รองเลขาธิการ OECD และ John Nery คณะกรรมการ The World Justice Project ร่วมกล่าวเปิดเน้นย้ำถึงความสำคัญของหลักนิติธรรมที่มีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศ 

 

ในโอกาสนี้ Mary Beth Goodman ย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรลงทุนกับการพัฒนาหลักนิติธรรม เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

 
 
“หลักนิติธรรมนั้นเหมือนเป็นระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่ช่วยให้ผู้คนและภาคธุรกิจต่าง ๆ สามารถวางแผน ลงทุน และสร้างนวัตกรรมได้อย่างมั่นใจ เพราะเมื่อมีกฎกติกาที่ชัดเจน บังคับใช้อย่างเป็นธรรม ข้อพิพาทได้รับการสะสางอย่างมีประสิทธิภาพ และสิทธิได้รับการคุ้มครอง ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้ชัดเจนก็คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่จะตามมา ตรงข้ามกับเมื่อกฎกติกาไม่ชัดเจน ความเชื่อมั่นก็จะลดลง ต้นทุนสูงขึ้น และกลายเป็นอุปสรรคแทนที่จะเป็นโอกาส”
 
 
รองเลขาธิการ OECD กล่าวไว้ด้วยว่า ขณะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย จะต้องมุ่งเน้นประเด็นของหลักนิติธรรมกับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาของภูมิรัฐศาสตร์โลกในปีนี้ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว “หลักนิติธรรม” ยังจัดเป็น นโยบายที่ส่งผลทางเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่แค่แนวคิดทางกฎหมายหรือการสร้างกฎระเบียบเพื่อควบคุมสังคมเท่านั้น
 
 
“สามวาระเร่งด่วนที่ประเทศต่าง ๆ ควรทำ เพื่อเสริมสร้างความยุติธรรมและความสามารถในการแข่งขัน
 
 
ประการแรก ประเทศต่าง ๆ ต้องส่งเสริมความเป็นอิสระภายในระบบยุติธรรม ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) ความเป็นอิสระที่สมดุล และความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ (accountability) ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด และบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความไว้วางใจ
 
 
ประการที่สอง การเข้าถึงบริการด้านยุติธรรม ควรจะเรียบง่าย ทันเวลา มีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม (simple, timely, and affordable) และต้องตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
 
 
ประการที่สาม ระบบยุติธรรมควรโปร่งใสและตรวจสอบได้ ด้วยการใช้ข้อมูล เทคโนโลยีดิจิทัล และความโปร่งใส เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้”
 
 
Mary Beth Goodman ระบุด้วยว่า ระบบยุติธรรมที่เข้มแข็ง ถือเป็นเงื่อนไขหลักที่จะนำไปสู่สู่การแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง และนี่คือเหตุผลที่ OECD มุ่งมั่นในการสนับสนุนการสร้างเสริมหลักนิติธรรมในประเทศต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย หากยังเป็นกลไกขับเคลื่อนความไว้วางใจ สถาบันที่เข้มแข็งยืดหยุ่น และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
 
 
ก่อนจะทิ้งท้ายว่า ประเทศสมาชิกใหม่ของ OECD ต่างใช้กระบวนการในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกนี้ในการปรับกระบวนการบริหารภาครัฐให้ทันสมัย เสริมสร้างความซื่อสัตย์สุจริตภาครัฐ (public integrity) และระบบยุติธรรมให้เข้มแข็ง ซึ่งจะนำไปสู่บรรยากาศการลงทุนที่น่าดึงดูดใจยิ่งขึ้น และบริการสาธารณะที่มีคุณภาพสูงขึ้น โดย OECD จะสนับสนุนประเทศไทยในกระบวนการนี้เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการร่วมเป็นสมาชิกของ OECD เช่นกัน
 
****
 
 

WJP เผย ภาพรวมคะแนนหลักนิติธรรมโลกลดลง ไทยดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก

 
 
ด้าน John Nery คณะกรรมการ The World Justice Project (WJP) องค์กรเอกชนที่จัดทำดัชนีชีวัดหลักนิติธรรม Rule of Law Index ของ 143 ประเทศทั่วโลก ระบุถึงคำกล่าวที่ว่า หลักนิติธรรมเป็นรากฐานสำคัญของความยุติธรรมในชุมชน โอกาส และสันติภาพ (The rule of law is a foundation for healthy communities of justice, opportunity, and peace.) ของ William H. Neukom ผู้ก่อตั้ง WJP ที่สะท้อนให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างหลักนิติธรรมกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดย WJP จัดทำรายงานเปรียบเทียบให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “ประเทศที่มีหลักนิติธรรมเข้มแข็งจะมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งด้วย” เช่น เดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน และประเทศเหล่านี้ก็ยังเป็นประเทศที่มีดัชนีความสุขของประชาชนมากกว่าประเทศอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

 

ในโอกาสนี้ John Nery เปิดเผยถึงรายงานดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมปี 2025 ที่จัดทำโดย WJP โดยระบุว่า เป็นปีที่สถานการณ์หลักนิติธรรมทั่วโลกตกต่ำลงอย่างน่าเป็นห่วง มีถึง 63% ของประเทศที่เข้าร่วมการวัดผลได้คะแนนหลักนิติธรรมลดลง ในขณะที่ปี 2024 มีเพียง 57% ที่ได้คะแนนลดลง

 

ผลการวัดในปี 2025 ยังแสดงให้เห็นถึงช่องว่างที่กว้างมากขึ้นระหว่างประเทศที่มีค่าคะแนนหลักนิติธรรมดีขึ้นกับประเทศที่มีหลักนิติธรรมลดลง โดยพบว่าในปีที่ผ่านมา ประเทศที่ได้ค่าคะแนนหลักนิติธรรมสูงขึ้นมีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นที่ 0.52% ในขณะที่ประเทศที่มีค่าคะแนนหลักนิติธรรมลดลงมีค่าเฉลี่ยลดลงถึง 1.07% ซึ่งสะท้อนว่าการสร้างหลักนิติธรรมนั้นเป็นงานที่ยากและต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ก็สามารถล้มเหลวได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน

 

ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมโลกเลวร้ายลงมาจากแนวโน้มการขยายตัวของแนวคิดอำนาจนิยม อย่างการจำกัดพื้นที่สาธารณะ และความอ่อนแอในระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล ซึ่งส่งผลให้ค่าคะแนนในตัวชี้วัดด้านการจำกัดอำนาจรัฐ รัฐบาลโปร่งใส และสิทธิขั้นพื้นฐาน ตกต่ำลง

 

 

ในขณะที่ดัชนีชี้วัดฯ ของประเทศไทย พบว่ามีค่าคะแนนรวมอยู่ที่ 0.50 จากคะแนนเต็ม 1 คะแนน  แม้จะเป็นเป็นค่าคะแนนที่ถือว่าสูงขึ้นมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยมีค่าคะแนนสูงขึ้น 1% แต่ก็ยังมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 0.55 คะแนน จุดแข็งที่สุดของประเทศไทยอยู่ที่ตัวชี้วัดด้านความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงที่ค่า 0.75 ส่วนจุดอ่อนอยู่ที่การปราศจากการคอร์รัปชัน การบังคับใช้กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมทางอาญาซึ่งได้คะแนนเพียง 0.45, 0.45 และ 0.42 ตามลำดับ

 

ทั้งนี้ ดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมของ WJP เป็นข้อมูลทางสถิติตัวหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ประกอบการออกแบบ “ระบบ” หรือยกเครื่อง“โครงสร้าง” ของประเทศไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยในเวทีโลก รวมทั้งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการก้าวเข้าสู่การเป็นสมาชิกใหม่ของ OECD ในอนาคตอันใกล้

 

อ่านรายงานดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมของ The World Justice Project ปี 2025 ที่นี่ : TIJ ชวนส่องดูคะแนนตัวชี้วัดหลักนิติธรรม Rule of Law Index 2025

Back
chat