ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำความผิดหญิง (United Nations Rules for the Treatment of Women Prisoners and Non-custodial Measures of Women Offenders) หรือ “ข้อกำหนดกรุงเทพ” (The Bangkok Rules) ได้รับการลงมติจากที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติและประกาศเป็นข้อกำหนดสหประชาชาติ ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553 แต่ก่อนหน้านั้นข้อกำหนดนี้มีความเป็นมาอย่างไร?
เรือนจำที่ไม่สนองตอบต่อความต้องการของทุกคน
ข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง พ.ศ. 2498 (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners – SMRs) ซึ่งได้รับการปรับปรุงอีกครั้งใน พ.ศ. 2558 หรือเรียกว่า ข้อกำหนดแมนเดลา เป็นข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดในการบริหารเรือนจำทั่วโลกให้มีการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องขัง โดยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างเหมาะสม คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ห้ามการทรมานและการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม จัดการเรือนจำโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แบ่งแยกสถานะทางสังคม มีการฟื้นฟูพฤติกรรมของผู้ต้องขัง และรับรองความปลอดภัยของทุกคนในเรือนจำ
ทว่า รู้หรือไม่ว่า ก่อนจะมีการปรับปรุงนั้น ข้อกำหนด SMRs เป็นกฎที่ออกแบบโดยผู้ชายเพื่อผู้ชาย เพราะในยุคนั้นจำนวนผู้ต้องขังชายมีมากกว่าผู้ต้องขังหญิงอย่างมาก (ร้อยละ 90) แม้จะมีการกำหนดถึง “การปฏิบัติที่เท่าเทียม” อย่างการห้ามเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงในเรือนจำกลับถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกับผู้ชาย ทั้งที่มีสรีระและบทบาททางสังคมต่างกัน และเนื้อหาในข้อกำหนดนั้นมีการกล่าวถึงเพศหญิงโดยเฉพาะน้อยมาก และนั่นทำให้ผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำถูกลิดรอนสิทธิที่พึงมีพึงได้ตามสิทธิมนุษยชน อย่างสุขภาวะด้านการเจริญพันธุ์ที่มีความต้องการแตกต่างจากผู้ชาย และประวัติภูมิหลังก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เป็นต้น
ผู้หญิงและเด็กในเรือนจำ จุดเริ่มต้นของข้อกำหนดกรุงเทพ
ใน พ.ศ. 2544 ขณะที่ยังทรงเป็นนักศึกษา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จเข้าเยี่ยมทัณฑสถานหญิงกลาง ทรงพบเห็นถึงสภาพปัญหาของผู้ต้องขังหญิงที่ยากลำบาก เพราะเรือนจำเป็นสถานที่คุมขังที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อสนองตอบต่อเพศสภาพของผู้หญิง ทำให้พวกเธอต้องประสบกับปัญหาด้านสุขอนามัยและคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และมีลูกติด
หลังจากที่พระองค์เสด็จไปศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา ทรงกลับมาทรงงานในประเทศไทย และได้ดำริถึงการช่วยเหลือผู้ต้องขังหญิง กระทั่งเกิดเป็นโครงการกำลังใจ ใน พ.ศ. 2549 ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง โดยในช่วงแรกเป็นโครงการที่เน้นการให้ความช่วยเหลือเฉพาะผู้หญิงตั้งครรภ์และมีลูกติดให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสากล และเป็นความช่วยเหลือที่ส่งเสริมและไม่ทับซ้อนกับสิ่งที่ราชการทำอยู่ ตลอดจนเสริมประโยชน์ในสิ่งที่ราชการไม่สามารถทำได้ เนื่องจากขาดแคลนปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งโครงการกำลังใจได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากเครือข่ายความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมที่เข้ามาร่วมกันปิดช่องโหว่ทางด้านงบประมาณอันจำกัดของราชการ และมีการขยายไปสู่เรือนจำอื่น ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งขยายความช่วยเหลือไปถึงด้านจิตใจ สุขภาพ และโอกาสการฝึกอาชีพ
ว่าด้วย “กำลังใจ”
ชื่อโครงการกำลังใจ ทรงดำริขึ้น ด้วยทรงตระหนักว่า ไม่ว่าจะเป็นคนภายนอกหรือผู้ต้องขัง ล้วนแล้วแต่สามารถส่ง “กำลัง” ของ “ใจ” ให้แก่กันและกันได้ จึงใช้ชื่อนี้มาเป็นชื่อโครงการ ส่วนชื่อโครงการภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Inspired ซึ่งมีความหมายถึงการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่กันและกัน
จากห้องแม่และเด็กในเรือนจำกรุงเทพ สู่นโยบายพลิกโลก
ความมุ่งมั่นของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังหญิงและเด็กติดผู้ต้องขัง และความสำเร็จของโครงการกำลังใจ นำไปสู่การจัดแสดงนิทรรศการ “กำลังใจ” ระหว่างการประชุม CCPCJ ครั้งที่ 17 ที่องค์การสหประชาชาติ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ใน พ.ศ. 2551 นิทรรศการครั้งนั้นสะท้อนจุดยืนของโครงการว่าความร่วมมือ หรือ Partnership Model เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ภาครัฐประเทศต่าง ๆ เข้าใจถึงปัญหาผู้หญิงและเด็กในเรือนจำ และเป็นส่วนสำคัญทำให้โครงการกำลังใจดำเนินไปได้
ต่อมาทรงดำริให้ผลักดันการจัดทำข้อกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศเกี่ยวกับผู้ต้องขังหญิง โดยเพิ่มเติมจากการศึกษาข้อกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศเดิมที่เกี่ยวกับผู้ต้องขังของสหประชาชาติ คือ ข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ซึ่งมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2498 เนื่องจากข้อกำหนดนั้นยังไม่ครอบคลุมการตอบสนองทางเพศภาวะของผู้ต้องขัง กระทั่งเกิดเป็นการจัดตั้งโครงการ Enhancing Life of Female Inmate (ELFI) โครงการจัดทำข้อเสนอการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้หญิงในเรือนจำในนามประเทศไทย เพื่อผลักดันให้เป็นข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ นับเป็นข้อกำหนดแรกของโลกที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดความยุติธรรมที่คำนึงถึงเพศสภาพ
การร่างข้อกำหนดกรุงเทพร่างแรกได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากภูมิภาคต่าง ๆ มาร่วมให้คำปรึกษา ก่อนจะนำเสนอผ่านกระบวนการรณรงค์ตามขั้นตอนของสหประชาชาติและการล็อบบี้ด้วยพระองค์เองทั่วโลก กระทั่งที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 65 ให้ความเห็นชอบใน “ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง” เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553 และได้เรียกชื่อย่อว่า “ข้อกำหนดกรุงเทพ” เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศไทย นอกจากนี้ ต่อมาสหประชาชาติยังได้ปรับปรุงข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังให้มีความทันสมัยมากขึ้นใน พ.ศ. 2558 และให้ชื่อว่าข้อกำหนดแมนเดลา เพื่อเป็นเกียรติแก่เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมด้วย
ไม่ใช่แค่ผู้ต้องขังหญิง แต่เป็นการปรับปรุงคุณภาพชีวิตเพื่อทุกคนในเรือนจำ
ข้อกำหนดกรุงเทพมีทั้งหมด 70 ข้อ มีสาระสำคัญครอบคลุมเนื้อหาในการบริหารจัดการเรือนจำเพื่อให้สอดคล้องกับเพศภาวะของผู้ต้องขัง ตั้งแต่กระบวนการแรกรับ การลงทะเบียน การจัดสรรสถานที่คุมขัง การจำแนกผู้ต้องขังและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังเป็นรายบุคคล การดูแลสุขอนามัย การปรับปรุงสภาพจิตใจและทัศนคติ และการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย รวมไปถึงการปรับปรุงกระบวนการทำงานในเรือนจำ และการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหน้าที่เรือนจำที่เป็นผู้หญิง เป็นต้น โดยในภาพรวมแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 ข้อกำหนดทั่วไป ว่าด้วยการบริหารจัดการเรือนจำโดยทั่วไปและใช้กับผู้กระทำผิดหญิงทุกประเภท
ส่วนที่ 2 ข้อหนดที่ใช้สำหรับผู้ต้องขังลักษณะพิเศษ ว่าด้วยการจำแนกลักษณะและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงที่มีลักษณะพิเศษ เช่น เคยเป็นเหยื่อความรุนแรง ตั้งครรภ์ หรือชนกลุ่มน้อย ชาวต่างชาติ เป็นต้น
ส่วนที่ 3 มาตรการในการลงโทษโดยไม่ใช่การคุมขัง ว่าด้วยการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวกับผู้กระทำผิดหญิงที่กระทำผิดไม่รุนแรงและมีปัจจัยทางกายภาพที่ไม่เหมาะกับการถูกคุมขัง
ส่วนที่ 4 การวิจัย การวางแผน การประเมินผล และการสร้างการรับรู้แก่ประชาชน เพื่อสนับสนุนงานวิจัยและการศึกษาเกี่ยวกับการคุมขัง
เพื่อให้การนำข้อกำหนดกรุงเทพมาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) หรือ Thailand Institute of Justice (TIJ) ได้รับการจัดตั้งขึ้น โดยรัฐบาล ใน พ.ศ. 2554 เพื่อเป็นสถาบันขับเคลื่อนข้อกำหนดกรุงเทพ โดย TIJ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ ในการส่งเสริมการเผยแพร่ข้อกำหนดกรุงเทพสู่การปฏิบัติในเรือนจำและทัณฑสถานทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจัดทำโครงการและกิจกรรม อาทิ โครงการเรือนจำต้นแบบ หลักสูตรฝึกอบรมว่าด้วยการบริหารจัดการผู้ต้องขังหญิงตามข้อกำหนดกรุงเทพสำหรับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ระดับอาวุโสในภูมิภาคอาเซียน โครงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย เป็นต้น
จากกรงขังสู่ก้าวใหม่: พัฒนาการ ‘ข้อกำหนดกรุงเทพ’ และโอกาสที่สร้างได้จริง
จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเส้นทางชีวิตของผู้หญิงที่เข้าสู่เรือนจำ พบว่าเส้นทางสู่เรือนจำของผู้ต้องขังหญิงนั้นแตกต่างจากผู้ต้องขังชาย พวกเธอมักจะต้อง “ติดคุก” ด้วยสาเหตุหลัก ๆ อย่างการถูกเลือกปฏิบัติทางเพศ นโยบายที่มุ่งเน้นการลงโทษ นโยบายยาเสพติดที่รุนแรง การทำให้ฐานะยากจนกลายเป็นอาชญากรรมในบางพื้นที่ โดยหลายคนเคยตกเป็นเหยื่อความรุนแรงหรือประสบเหตุรุนแรงมาก่อน และปัจจุบันพบด้วยว่าสถิติของผู้ต้องขังหญิงที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าข้อกำหนดกรุงเทพ และแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นประเด็นที่ทั่วโลกต้องให้ความสนใจ
มาตรการทางเลือกแทนการคุมขัง
จากเส้นทางสู่เรือนจำของผู้ต้องขังหญิงสะท้อนว่าหลายคนไม่จำเป็นต้องถูกจองจำและได้รับผลกระทบจากการจำคุกอย่างปัญหาด้านสุขภาพจิต การต้องอยู่ห่างจากครอบครัว การถูกตีตราและไม่สามารถหาเลี้ยงชีพสุจริตได้เมื่อพ้นโทษ และอาจทำให้ต้องกลับไปสู่วงจรการกระทำผิดซ้ำอีก การใช้มาตรการทางเลือกแทนการคุมขัง (Non-custodial Measures) จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบนั้น อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการบริหารจัดการนักโทษล้นเรือนจำ
มาตรการทางเลือกที่อาจนำมาใช้มีได้ตั้งแต่การปล่อยตัวแบบมีหรือไม่มีเงื่อนไข การใช้กำไลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring) การทำงานบริการชุมชน การใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ หรือการส่งต่อเข้ารับบริการบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับเพศภาวะในชุมชนภายนอก แนวทางนี้จะช่วยให้พวกเธอสามารถกลับคืนสู่สังคมและฟื้นฟูตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ทั้งนี้ การนำมาตรการทางเลือกที่ไม่ใช่การคุมขังมาใช้นั้นกำลังได้รับความยอมรับจากนานาประเทศ ตามกรอบแนวทางของข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการใช้มาตรการทางเลือกแทนการคุมขัง (UN Standard Minimum Rules for Non-custodial Measures) หรือ Tokyo Rules ซึ่งเน้นถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อให้ผู้ต้องขังได้รับการแก้ไขฟื้นฟูภายในชุมชน ควบคู่ไปกับการจัดหาความคุ้มครองให้แก่สังคมและส่งเสริมสิทธิของเหยื่อด้วย โดยพบว่าในปี พ.ศ. 2568 ภูมิภาคยุโรป อเมิริกาเหนือ และออสเตรเลียมีการใช้มาตรการทางเลือกแทนการคุมขังมากกว่าการพิพากษาโทษจำคุก
การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย
เมื่อผ่านกำแพงเรือนจำแล้ว หลายคนไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติในสังคมได้ เพราะไม่ได้รับโอกาสในการกลับตัว และเป็นเหตุให้ต้องกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีกครั้งในเวลาต่อมา ดังนั้น การช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่พวกเธอก่อนจะออกไปเผชิญกับโลกภายนอกจึงเป็นสิ่งสำคัญพอกันกับการป้องกันไม่ให้พวกเธอข้องเกี่ยวกับคดีตั้งแต่ต้น
ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา พัฒนาการที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของ “ข้อกำหนดกรุงเทพ” คือการขยายมุมมองจากการดูแลสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิงหลังกำแพง ไปสู่การสร้างหลักประกันในชีวิตจริงเมื่อก้าวพ้นประตูเรือนจำ ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ในเพศสภาพใด โดยเฉพาะในประเด็น “การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย” (Pre-release program) ที่ส่งเสริมให้เรือนจำหรือทัณฑสถานเป็นโรงเรียนที่ช่วยบ่มเพาะทักษะชีวิตและอาชีพที่จำเป็นต้องสอดคล้องกับตลาดแรงงาน เพื่อให้ผู้พ้นโทษสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองและไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ
- “โครงการพัฒนาต้นแบบการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย (Pre-Release Model)” เป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมจากความร่วมมือระหว่าง TIJ และกรมราชทัณฑ์ โดยล่าสุดใน พ.ศ. 2568 มุ่งเป้าหมายที่จะยกระดับมาตรฐานในเรือนจำ 13 แห่งทั่วประเทศ โครงการนี้มุ่งเน้นการแก้ไขฟื้นฟูแบบครบวงจร ตั้งแต่การจำแนกผู้ต้องขังเพื่อพัฒนาพฤติกรรมนิสัย การฝึกวิชาชีพที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการเพื่อรองรับการจ้างงาน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนผ่านผู้ต้องขังให้เป็นผู้ที่มีทักษะพร้อม ทัศนคติดี และมีที่ยืนในสังคม
- “โรงเรียนตั้งต้นดี” (Restart Academy) เป็นผลผลิตต้นแบบที่ชัดเจนจากการมีโครงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย โรงเรียนแห่งนี้เริ่มต้นจากแนวคิด “ความร่วมมือทางสังคม” โดยเปิดพื้นที่ฝึกฝนวิชาชีพและทักษะชีวิตแก่ผู้ก้าวพลาดในรูปแบบกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ไม่ว่าจะอยู่ในเพศสภาพใด เพื่อให้พวกเขาได้ทดลองทำงานจริง ในรูปแบบครัวตั้งต้นดีหรือธุรกิจบริการอื่น ๆ ทั้งนวดสปา ซาลอน และรุกขกร นอกจากนี้ยังเป็นโรงเรียนชีวิตที่สอนการบริหารจัดการ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โดยมีรายได้และเงินปันผลเป็นเครื่องยืนยันความสามารถ
หลังจากดำเนินงานมา 2 ปี พบว่าโรงเรียนตั้งต้นดีให้ผลลัพธ์อย่างชัดเจน กล่าวคือ ผู้เข้าร่วมสามารถบริหารจัดการการเงินของตัวเองได้ดีขึ้นและใช้สารเสพติดน้อยลง และพบด้วยว่า การลงทุนในโครงการนี้ให้ผลตอบแทนทางสังคมถึง 7.7 เท่า ตอกย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในการช่วยให้ผู้คนกลับคืนสู่สังคมในระยะยาว และลดโอกาสในการกระทำผิดซ้ำ
โครงการ Bangkok Rules Accelerator: ความท้าทายและโอกาส
แม้ข้อกำหนดกรุงเทพจะประสบความสำเร็จระดับปฏิบัติการ แต่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาโลกยังคงเผชิญความท้าทายต่อการตอบสนองต่อเพศภาวะของผู้ต้องขัง ขณะที่จำนวนผู้ต้องขังหญิงยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า ในปี พ.ศ. 2568 ประชากรหญิงในเรือนจำเพิ่มสูงขึ้นถึง 57% ขณะที่ผู้ต้องขังชายมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น 22% เมื่อเทียบกับ พ.ศ. 2543
ในโอกาสครบรอบ 15 ปี จึงเป็นเวลาที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะได้ทบทวนประสบการณ์ที่ผ่านมา เพื่อประเมินความก้าวหน้าและความท้าทายที่ยังคงมีอยู่ และแสวงหาแนวทางในการดูแลผู้หญิงในกระบวนการยุติธรรมตามแนวทางข้อกำหนดกรุงเทพที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป นำมาสู่การริเริ่มโครงการ Bangkok Rules Accelerator โดย UNODC และ TIJ โครงการนี้เป็นโครงการระดับโลกที่จะมาเป็นส่วนสำคัญของการ ขับเคลื่อนระเบียบวาระโลก (Global Agenda) โดยเฉพาะในเรื่องของสตรี สันติภาพ และความมั่นคง (Women, Peace and Security agenda หรือ WPS agenda) เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมคำนึงถึงเพศภาวะมากขึ้น และถือเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างสันติภาพ การมีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่ม และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (United Nations Sustainable Development Goals หรือ SDGs)
โครงการ Bangkok Rules Accelerator จะสนับสนุนการขับเคลื่อนข้อกำหนดกรุงเทพอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถวัดผลได้ ด้วยการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค การให้คำปรึกษาเชิงนโยบาย และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร แก่ประเทศนำร่องที่มุ่งมั่นพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ตอบสนองต่อเพศภาวะ รวมไปถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา นักวิชาการ และภาคีเครือข่ายด้านการพัฒนา เพื่อให้เกิดการร่วมกันพัฒนามาตรการที่มิใช่การคุมขัง การฟื้นฟูและการกลับคืนสู่สังคม และการออกแบบนโยบายที่มีอ้างอิงจากหลักฐานเชิงประจักษ์ด้วย
ทั้งนี้ โครงการ Bangkok Rules Accelerator จะเปิดตัวระหว่างการประชุมนานาชาติ “จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ: 15 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพและอนาคตของกระบวนการยุติธรรมที่สนองตอบต่อเพศภาวะ” (From Vision to Action: 15 Years of the Bangkok Rules and the Future of Gender-Responsive Criminal Justice) ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ที่อาคาร TIJ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนระเบียบวาระโลก
ขอเชิญทุกภาคีเครือข่ายเข้าร่วมโครงการ Bangkok Rules Accelerator เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากร ร่วมกันผลักดันให้ความยุติธรรมทางอาญาคำนึงถึงเพศภาวะอย่างแท้จริง
ติดตามรายละเอียดและลงทะเบียนร่วมงานได้ที่นี่ https://forms.gle/J5JkPCg1HBALcuLX7