ยอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัว

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ (cookie) เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานและเพิ่มความพึงพอใจต่อการได้รับการเสนอข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตามนโยบายคุกกี้ของเรา

รายละเอียดเพิ่มเติม

TIJ เผยผลสำรวจคดี “บอส อยู่วิทยา” ประชาชน เชื่อ “มีอำนาจอื่นแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม” แต่มีเพียงร้อยละ 25 เชื่อว่าจะ “ปฏิรูปได้”

 

“สิ่งที่คนรู้สึกรับไม่ได้มากที่สุดเกี่ยวกับคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ส่วนหนึ่งคือ คดีนี้ดูเหมือนมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองและจากอิทธิพลของกลุ่มนายทุน”

 

นั่นเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่พบจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ซึ่ง สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ จัดทำผ่านช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา จากปัญหาใน
คดีนายวรยุทธ ที่ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจกระบวนการยุติธรรมเป็นวงกว้าง โดยมีประชาชนทั่วประเทศ


ทุกกลุ่มอายุ ร่วมตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 4,008 คน ในจำนวนนี้ 2,056 คน มีประสบการณ์ในกระบวนการยุติธรรม โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่เคยเรียนหรือทำงานในด้านที่เกี่ยวข้อง กลุ่มที่เคยเข้าสู่กระบวนการทางคดี เช่น
เป็นพยาน ผู้ต้องหาหรือผู้เสียหาย และกลุ่มที่มีประสบการณ์ทั้งสองลักษณะ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน  

 

แบบสอบถามนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ความรู้สึกและความคาดหวังต่อคดี และความรู้สึกและความคาดหวังต่อกระบวนการยุติธรรม

 

 

ส่วนที่ 1 ความรู้สึกและความคาดหวังต่อคดี

เรื่องที่ผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกไม่ดีหรือรับไม่ได้มากที่สุดเกี่ยวกับคดีนี้ มีสองเรื่องในคะแนนใกล้เคียงกัน อันดับหนึ่งคือ  การทำสำนวนคดีที่ยืดระยะเวลาออกไปอย่างไม่มีเหตุสมควรจนคดีหมดอายุความ และอันดับสองคือ การที่คดีนี้ดูเหมือนมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองและจากอิทธิพลของกลุ่มนายทุน

ในเรื่องการทำสำนวนล่าช้าที่ประชาชนส่วนใหญ่ยกขึ้นมาตั้งคำถามนั้น  TIJ มีข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับระยะเวลาในการดำเนินคดีในฐานความผิด “ขับรถโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” พบว่าคดีในกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่[1]  มีระยะเวลาดำเนินคดีในชั้นตำรวจ 14 วัน โดยคดีที่ทำสำนวนได้รวดเร็วที่สุด ใช้เวลาเพียง 3 วัน และช้าที่สุดอยู่ที่ 284 วัน   ส่วนในชั้นพนักงานอัยการ ตั้งแต่การรับสำนวนถึงมีคำสั่งฟ้อง ส่วนใหญ่ใช้เวลาเพียง 8 วัน คดีที่เร็วที่สุดใช้เวลา 1 วัน และช้าที่สุด 344 วัน[2]    

 

สิ่งที่ผู้ตอบไม่พอใจเป็นอันดับสาม แตกต่างกันระหว่างคนที่มีประสบการณ์กับไม่มีประสบการณ์ในกระบวนการยุติธรรม  โดยคนที่มีประสบการณ์จะไม่พอใจกับการมีพยานบุคคลเพิ่มเติมหลังจากผ่านไปหลายปีมาหักล้างความผิดโดยไม่มีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ส่วนคนไม่มีประสบการณ์จะมองเรื่องการพบสารเสพติดในเลือดของผู้ต้องหาแต่ไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหา     

 

เมื่อถามว่า ในภาพรวมท่านไม่พอใจอะไรมากที่สุดเกี่ยวกับการดำเนินคดีนี้ ผู้ตอบถึงร้อยละ 56.76 ระบุว่าไม่พอใจที่ “กฎหมายไม่ได้ถูกบังคับใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาคเพราะกระบวนการยุติธรรมถูกซื้อได้ด้วยเงินและอำนาจ”

 

ส่วนความคาดหวังต่อคดีนี้ หลังจากที่เป็นกระแสสังคมและเริ่มมีการตรวจสอบจากทั้งตำรวจ อัยการ และคณะกรรมการอิสระที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้น พบว่า ผู้ตอบกว่าร้อยละ 89 ล้วนคาดหวังให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างละเอียด ต้องมีการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีและดำเนินคดีหากพบว่าร่วมกันบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม ต้องสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่ามีพฤติกรรมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ต้องรื้อสำนวนคดีใหม่และนำคดีเข้าสู่ชั้นศาลทั้งคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และคดีใช้ยาเสพติด รวมทั้งคาดหวังว่าต้องนำตัวผู้ต้องหากลับมารับโทษให้ได้หากภายหลังศาลตัดสินว่าผิดจริง

 

ผู้ตอบแบบสอบถามนี้ ร้อยละ 94.56 ยังเห็นว่า สังคมควรมีความเคลื่อนไหวต่อคดีนี้ และบอกว่าที่ควรทำเป็น
อันดับแรก คือ ร่วมกันต่อต้านการทุจริตในกระบวนการยุติธรรมทุกรูปแบบ รองลงมาคือ ควรเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรม สำหรับผู้ตอบส่วนน้อยที่ตอบว่าไม่ควรเคลื่อนไหวอะไร เกือบครึ่งหนึ่งบอกว่าเพราะเคลื่อนไหวเรียกร้องไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

 

ส่วนที่ 2 ความรู้สึกและความคาดหวังต่อกระบวนการยุติธรรม

ส่วนนี้เป็นคำถามเกี่ยวกับความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมในภาพรวมและความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ และศาลยุติธรรม และการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม

 

ประเด็นที่น่าสนใจประเด็นแรกคือ ความเชื่อมั่นที่ผู้ตอบมีต่อกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ก่อนที่จะทราบรายละเอียดความผิดปกติในคดีของนายวรยุทธ ค่าเฉลี่ยของความเชื่อมั่นมีคะแนนอยู่ที่ระดับ 2.40 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน (โดยผู้ตอบส่วนใหญ่ให้คะแนน 2-4 คะแนน) แต่เมื่อทราบรายละเอียดของคดีนี้แล้ว ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของผู้ตอบแบบสอบถาม ลดเหลือเพียง 0.99 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน (โดยมีผู้ตอบถึง 46% ที่ให้เพียง 0 คะแนน)

 

 

สำหรับข้อคำถามในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม ผู้ตอบสามารถที่จะเลือกให้ความเห็นหรือไม่ก็ได้ และมีผู้ให้ความเห็นจำนวนทั้งสิ้น 2,893 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 72.18 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด

 

เริ่มที่บทบาทของ “ตำรวจ” ในการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานและทำสำนวนคดี ผลสำรวจระบุว่า ผู้ตอบส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 57.86 เห็นด้วยว่าเป็นบทบาทที่เหมาะสมแล้ว ที่เหลือร้อยละ 26.48 บอกว่าไม่เหมาะสม และร้อยละ 15.66 ตอบว่าไม่แน่ใจ

 

ส่วนบทบาทของ “อัยการ” ผู้ตอบร้อยละ 73.97 ระบุว่าการถ่วงดุลการทำงานของตำรวจโดยการตรวจสำนวนและใช้ดุลพินิจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง นั้นมีความเหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 75.98 ยังบอกว่า อัยการควรมีบทบาทในการสอบสวนและการทำสำนวนมากขึ้น

 

สำหรับบทบาทของ “ศาล” ผู้ตอบร้อยละ 82.27 บอกว่า ศาลควรมีบทบาทมากขึ้นในการแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีอาญาทั่วไป เพิ่มเติมจากการพิจารณาตามสำนวนที่ส่งมาเท่านั้น และผู้ตอบร้อยละ 85.48 ยังเห็นว่า
การใช้ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มาให้การประกอบการพิจารณาคดีควรเป็นผู้เชี่ยวชาญจากบุคคลภายนอกมากกว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม และอีกร้อยละ 82.09 เห็นว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ควรมีน้ำหนักมากกว่าพยานบุคคล

 

ส่วนคำถามที่ว่า คดีนี้สะท้อนปัญหาจากช่องโหว่ของระบบหรือตัวบุคคล ได้ผลสรุปที่น่าสนใจ เพราะมีผู้ตอบเพียงร้อยละ 50.64 ที่เชื่อว่า ระบบงานกระบวนการยุติธรรมดีอยู่แล้ว แต่เกิดปัญหาเพราะผู้ปฏิบัติไม่สุจริตหรือไม่มีประสิทธิภาพ หมายความว่า ผู้ตอบส่วนที่เหลือเห็นว่า ระบบของกระบวนการยุติธรรมน่าจะมีปัญหาด้วย

 

 

คำถามสำคัญ คือ ท่านคิดว่าคดีนี้น่าจะมีส่วนผลักดันให้คนในกระบวนการยุติธรรมทำงานอย่างโปร่งใสขึ้น และเกิดการปฏิรูประบบงานบางประการในแต่ละหน่วยงาน ผู้ตอบประมาณร้อยละ 50 ตอบว่า “อาจจะเป็นไปได้” 
ส่วนที่เหลือพบว่า มีผู้ตอบที่มั่นใจว่า “เป็นไปได้” กับผู้ที่ตอบว่า “เป็นไปไม่ได้เลย” อยู่ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน 

 

อย่างไรก็ตาม ด้านที่ดูจะมีความหวังคือ ผู้ตอบถึงร้อยละ 74.63 เชื่อมั่นว่าคดีนี้จะทำให้ภาคประชาชนสนใจตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ ร้อยละ 91.05 เห็นว่าควรมีช่องทางให้ประชาชนติดตามขั้นตอนและผลการพิจารณาคดีต่าง ๆ ตามที่สนใจได้อย่างสะดวก แม้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีโดยตรงก็ตาม


[1] หมายถึงค่าฐานนิยมของข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง

[2] สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย. (2562). การพัฒนาตัวชี้วัดด้านระยะเวลาเพื่อส่งเสริมหลักนิติธรรมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย.

 


เอกสารประกอบ

Back