“การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นสิทธิที่รัฐต้องทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ามีอยู่ สามารถเข้าถึงได้ และเป็นบริการที่ยั่งยืน” ดร. พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวในพิธีเปิดการประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย หัวข้อ “การเข้าถึงความยุติธรรมที่เท่าเทียมในกระบวนการยุติธรรมอาเซียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Regional Workshop on Enhancing Equal Access to Legal Aid in Criminal Justice Systems in Southeast Asia) ซึ่งจัดร่วมกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ 20 - 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย

ผู้อำนวยการ TIJ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันระบบการให้บริการความช่วยเหลือทางกฎหมายของประเทศไทยนั้นขาดเอกภาพและมีข้อจำกัดทั้งด้านศักยภาพและบทบาทหน้าที่ที่ไม่ชัดเจน โดยยกตัวอย่างว่าช่องทางในการให้บริการยังแยกส่วนกัน ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถเข้าถึงระบบยุติธรรมได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ องค์กรภาคประชาสังคม หรือคลินิกกฎหมายของมหาวิทยาลัย แต่ยังไม่มีศูนย์กลาง หรือ แพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งที่ประสานงานทุกฝ่ายอย่างเป็นระบบ ทำให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทางกฎหมายสับสนและไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
“ปัญหานี้ตอกย้ำแนวคิด “กระบวนการยุติธรรมที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (People-Centered Justice) แนวคิดที่ TIJ ให้ความสำคัญมาโดยตลอดว่า การเข้าถึงความยุติธรรม ต้องเริ่มจากประชาชน ไม่ใช่จากสถาบัน และเพื่อสร้างระบบที่ครอบคลุมและเท่าเทียมมากขึ้น เราจำเป็นต้องเปลี่ยนจาก “ระบบที่ขับเคลื่อนด้วยฝั่งผู้ให้” (Supply-driven) ไปสู่ “ระบบที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้” (Needs-driven)
เริ่มจากการใช้ข้อมูลหลักฐาน วิเคราะห์ว่าใครยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ ต้องการความช่วยเหลือแบบไหน และจะสร้างความไว้วางใจได้อย่างไร พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยลดเวลา ค่าใช้จ่าย และลดการตีตรา” ดร. พิเศษ กล่าว และเสริมว่า แนวคิดของความยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางกำลังค่อย ๆ ได้รับการยอมรับทั้งในอาเซียนและระดับโลก เพราะนอกจากจะช่วยให้กระบวนการยุติธรรมตอบสนองต่อสังคมได้มีประสิทธิภาพกว่าระบบยุติธรรมแบบดั้งเดิมแล้ว ยังมีศักยภาพที่จะลดการเสื่อมถอยของหลักนิติธรรมที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ด้วย จากแนวโน้มการเติบโตของกระบวนการยุติธรรมที่ใช้ข้อมูลเป็นแรงขับเคลื่อน (data-driven justice) ทำให้ผู้กำหนดนโยบายตระหนักว่าควรกำหนดนโยบายอย่างไรเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
ก่อนทิ้งท้ายว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้นวัตกรรม ทั้งแพลตฟอร์มการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย เครือข่ายนักกฎหมาย หรือโมเดลการให้บริการทางกฎหมายอื่นใด ตลอดจนการร่วมกันสร้างมาตรฐานการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของภูมิภาคต่อไป

ด้าน Anna Giudice หัวหน้าคณะทำงานด้านการเข้าถึงความยุติธรรม สำนักป้องกันอาชญากรรมและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา UNODC กล่าวในพิธีเปิดว่า
“การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ฉลาดที่จะทำด้วย เพราะเป็นรากฐานทางสิทธิมนุษยชนที่จะส่งเสริมการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับบริการทางกฎหมาย ช่วยให้เราป้องกันไม่ให้ปัญหาบานปลาย ลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง และส่งเสริมความเท่าเทียม”
พร้อมทั้งระบุด้วยว่า การร่วมกันกำหนดข้อเสนอแนะและนำเสนอผลของการประชุมครั้งนี้จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของผู้ร่วมประชุมเพื่อพัฒนาการเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมายและเป็นแนวทางเพื่อการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคสำหรับภูมิภาคนี้ต่อไป

การประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม (Regional Workshop on Enhancing Equal Access to Legal Aid in Criminal Justice Systems) จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และหารือถึงยุทธศาสตร์ในการเสริมสร้างการเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมายในภูมิภาคอาเซียน โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ สภาทนายความ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และผู้เชี่ยวชาญและนักปฏิบัติการทางด้านกฎหมายจาก 10 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ยกเว้นประเทศบรูไน รวมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศอาร์เจนตินา บราซิล และสาธารณรัฐประชาชนจีน


ผู้จัดงานหวังว่าการประชุมเชิงปฏิบัติการระยะเวลา 3 วันครั้งนี้จะนำไปสู่ผลสำเร็จในการรวบรวมองค์ความรู้ พัฒนาการ รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายผู้เข้าร่วม สะท้อนถึงความมุ่งมั่นระดับภูมิภาคและสากลที่จะยกระดับให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นไปเพื่อทุกคนอย่างเท่าเทียม
