ยอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัว

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ (cookie) เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานและเพิ่มความพึงพอใจต่อการได้รับการเสนอข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตามนโยบายคุกกี้ของเรา

รายละเอียดเพิ่มเติม

Fair Now or Never!

TIJ ผนึกกำลังภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม
เร่งยกระดับ “หลักนิติธรรมไทย” สร้างความเป็นธรรมทางการเมืองและเศรษฐกิจ
เสริมศักยภาพการแข่งขันสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน

เพื่อเพิ่มโอกาสในการยกระดับหลักนิติธรรมของประเทศไทย สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ ร่วมกับ World Justice Project และ The Standard จัดงาน Thailand Rule of Law Fair งานแฟร์เพื่อความแฟร์ ในหัวข้อ “Investing in the Rule of Law for a Sustainable Future” ในวันศุกร์ที่ 7 และวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 บนพื้นที่ TIJ Common Ground อาคาร TIJ ถนนแจ้งวัฒนะ ให้เป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับการแลกเปลี่ยนมุมมอง นำเสนอแนวคิดวิเคราะห์เพื่อให้เข้าใจปัญหาหลักนิติธรรมที่มีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศอย่างลึกซึ้งถึงในระดับโครงสร้าง เน้นที่การจัดกิจกรรมสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และทำให้หลักนิติธรรมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น และมุ่งหวังให้เป็นพื้นที่รวบรวมเครือข่ายคนทำงานและผู้มีอุดมการณ์มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย

 

ความเป็นรูปธรรมของหลักนิติธรรมไทย ดูได้จากค่าคะแนน “ดัชนีชีวัดหลักนิติธรรม” (Rule of Law Index) ซึ่ง The World Justice Project ทำการวัดและจัดลำดับหลักนิติธรรมทั่วโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 และเปิดเผยว่า ใน พ.ศ. 2567 ประเทศไทยได้คะแนนดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม 0.50 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 78 จาก 142 ประเทศทั่วโลก โดยถือว่ามีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.55 คะแนน และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.59 คะแนน โดยมีถึง 7 ตัวชี้วัด จากทั้งหมด 8 ตัวชี้วัด ที่ประเทศไทยทำคะแนนได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ การจำกัดอำนาจรัฐ การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ การปราศจากคอร์รัปชัน สิทธิเสรีภาพของประชาชน การบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง และกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

 

การยกระดับหลักนิติธรรม ถือเป็นความท้าทายที่มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากที่ประเทศไทยได้เข้าสู่กระบวนการหารือ (accession discussions) เพื่อเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 และต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ในการร่วมกันเสนอแนะและแก้ไขปรับปรุงมาตรฐานภายในประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐาน OECD ทั้งหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ การแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม การศึกษา แรงงาน การพัฒนาเชิงพื้นที่ สิ่งแวดล้อม และดิจิทัล เป็นต้น

 

ทั้งนี้ หากจะให้คำนิยามคำว่า หลักนิติธรรม อาจนิยามกว้าง ๆ ได้ว่า เป็นหลักการปกครองที่ถือกฎหมายเป็นใหญ่ ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ใช้กฎหมายเป็นใหญ่ กฎหมายต้องบังคับใช้กับทุกคนอย่างเสมอหน้า กฎหมายต้องมาจากกระบวนการที่ชอบธรรมตามหลักประชาธิปไตย และต้องเป็นหลักที่รัฐไม่สามารถใช้อำนาจไปละเมิดสิทธิของประชาชนได้

 

 

ในการจัดงานครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมกล่าวเปิดงาน โดยกล่าวว่า “ประเทศไทยยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาหลักนิติธรรมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของ IMD ที่เรามุ่งหวังให้ประเทศของเราก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ผ่านการพัฒนาในด้านโครงสร้างสถาบัน และโครงสร้างทางสังคม นอกจากนี้ เรายังงมุ่งมั่นสร้างความไว้วางใจในระบบรัฐและกฎหมายผ่านการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมและหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น OECD และ The World Justice Project หรือ WJP เพื่อยกระดับมาตรฐานในทุกมิติ”
 

 

Dr. Tatyana Teplova ผู้แทนจาก OECD กล่าวในปาฐกถาพิเศษว่า “พวกเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมมือกับประเทศไทย ในขณะที่กำลังพัฒนาระบบยุติธรรมให้สอดคล้องกับมาตรฐานของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (OECD) โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังเตรียมตัวเข้าเป็นสมาชิกของ OECD นี้ นี่เป็นโอกาสสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยจะได้ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการมีฎหมายที่เป็นธรรม การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และการพัฒนาที่ยั่งยืน สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณที่มีการจัดการประชุมที่สำคัญและทันสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น และไม่ว่าจะพูดกี่ครั้งก็ไม่เกินจริงว่าการมีกฎหมายที่เป็นธรรมนั้นสำคัญมากต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน”

 

ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า “การสัมมนาวันนี้อาจจะพบข้อยุติของการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม เพื่อราษฎรจะได้รับความยุติธรรมอย่างทั่วถึง จากหลักการดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่า ปัญหาต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าความยากจน ยาเสพติด ทุจริตคอร์รัปชัน และอื่นๆ อาจเป็นเพียงปลายเหตุ ต้นเหตุแท้จริงอาจมาจากความไม่เป็นประชาธิปไตย” พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า บทบาทของกระทรวงและรัฐบาลคือการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรมและไม่กระทบศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และปัญหาอาชญากรรมเป็นเรื่องท้าทายที่อยากให้งานเสวนาครั้งนี้ได้พิจารณา อย่างการใช้กฎหมายอาญาที่ฟุ่มเฟือยจะกระทบต่อการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมและเสมอภาคด้วย

 

นางชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฎีกา กล่าวว่า “บทบาทในการรักษาและส่งเสริมหลักนิติธรรมไม่ได้เป็นเพียงหน้าที่ของศาลยุติธรรมหรือผู้พิพากษาเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยและพึ่งพาความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน ภาครัฐ และองค์กรทั้งหลายในประเทศเพื่อสร้างเสริมสังคมที่ยึดมั่นในความยุติธรรม การพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นธรรมย่อมไร้ความหมาย หากไม่มีการยึดถือหรือบังคับให้เป็นไปตามผลแห่งคำวินิจฉัยนั้น การบังคับคดีทางแพ่งและทางอาญาจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการค้ำชูหลักนิติธรรมไม่ให้สั่นคลอน และป้องกันไม่ให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหลักนิติธรรม”

 

 

Dr. Alehandro Ponce จาก The World Justice Project กล่าวว่า “ขณะนี้เป็นเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยและเป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างเสริมหลักนิติธรรมเพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมยิ่งกว่าเดิม โดยจะสร้างหลักนิติธรรมให้สำเร็จได้ จำต้องมีคำมั่นของผู้นำรัฐบาลในการยึดหลักนิติธรรมและยอมรับแนวคิดประชาชนเป็นศูนย์กลางพร้อมด้วยการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”

 

 

Ms. Niamh Collier Smith จากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ร่วมกล่าวปาฐกถา โดยระบุว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีพัฒนาการด้านหลักนิติธรรมในปีที่ผ่านมา อ้างอิงจากดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมโดย WJP โดยมีกฎหมายสำคัญที่ได้รับการบังคับใช้มีการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนหลายฉบับ เช่นกฎหมายการคุ้มครองและป้องกันการอุ้มหาย กฎหมายการสมรสเท่าเทียม และเป็นสมาชิกใหม่ของ UN Human Rights Council เป็นโอกาสให้พัฒนาหลักนิติธรรมต่อไป แต่ยังมีอุปสรรคท้าทาย เช่น การแก้ไขคอร์รัปชัน การเสริมสร้างกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้เข้มแข็ง การเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานของรัฐบาล การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของภาคประชาสังคม เช่น นักรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน และผู้สื่อข่าว จากการใช้กฎหมายสแลป เป็นต้น เหล่านี้ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ดี การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ OECD จะเป็นแรงผลักดันและเสริมสร้างให้ประเทศไทยพัฒนาหลักนิติธรรมต่อไป และเป็นโอกาสที่ดีที่เกิดการจัดงานครั้งนี้ขึ้น

 

 

อีกทั้งยังได้รับเกียรติจากผู้นำองค์กรชั้นนำในประเทศไทยอีกหลายท่าน มากล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “เปิดวิสัยผู้นำ : ลงทุนกับนิติธรรม หลักประกันอนาคตที่ยั่งยืน” ได้แก่ 

 

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวปาฐกถาว่า “หลักนิติธรรมเปรียบเสมือนอากาศที่มองไม่เห็น ซึ่งหากอากาศยังบริสุทธิ์อยู่ เราอาจไม่รู้สึกถึงความสำคัญ แต่หากอากาศเป็นพิษหรือขาดหายไป เราจะรู้สึกอึดอัดและตระหนักถึงความจำเป็น” โดยหลักนิติธรรมในประเทศมีความท้าทายตรงจุดที่คนในสังคมยังมองว่าหลักนิติธรรมเป็นเรื่องเฉพาะนักกฎหมาย แต่ความจริงแล้วทุกภาคส่วนในสังคมต่างได้รับผลกระทบจากความบกพร่องของหลักนิติธรรม ที่สำคัญคือหลักนิติธรรมในประเทศไทยยังไม่ถูกมองให้มีความเชื่อมโยงกับหลักประชาธิปไตยและหลักธรรมาภิบาล ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดไม่อาจแยกจากกันได้
 

ทั้งยังได้ย้ำถึงการลงทุนเพื่อพัฒนาหลักนิติธรรมด้วยว่า จำเป็นต้องลงทุนทั้งในเชิงโครงสร้างความคิดและการจัดระบบสังคมให้เข้าใจถึงความสำคัญร่วมกัน เพื่อสร้างระบบกฎหมายที่เป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยการขับเคลื่อนหลักนิติธรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ต้องเกิดจากการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม การวัดผลความก้าวหน้าในการพัฒนาหลักนิติธรรมด้วยตัวชี้วัดที่ชัดเจน และการเปิดพื้นที่ให้เยาวชนคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไปได้เข้ามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของประเทศไปด้วยกัน 

“ในสังคมที่ประชาธิปไตยไม่เข้มแข็งจะทำอย่างไร ในกระบวนการแบบนี้ต้องให้ทุกคนเห็นความสำคัญ ต้องสร้างเครือข่าย เชื่อมภาครัฐกับทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม หลักนิติธรรมรอใครไม่ได้ ต้องร่วมกันสร้างเป็นองคาพยพแบบ Whole Society Approach เรื่องนี้ไม่มีทางลัด (shortcut) ต้องลงทุนทั้งโครงสร้างและความคิดให้เข้าใจระบบสังคม จึงจะเป็นปัจจัยพื้นฐานให้เกิดอนาคตที่ยั่งยืน” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กล่าว


นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยในการปฏิรูปฟื้นฟูหลักนิติธรรม ด้วยการตัดลดกฎหมายที่ล้าสมัยอย่างเร่งด่วน หากต้องการจะไปแข่งขันได้ในเวทีโลก เพราะไทยมีกฎหมายที่ซ้ำซ้อนกันเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดต้นทุนแฝงจำนวนมหาศาลในการทำธุรกิจที่ต้องขออนุมัติหรือขออนุญาตรายทาง จนเป็นช่องทางทำให้เกิดการคอร์รัปชันอย่างเรื้อรัง

 

ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กล่าวถึง ความสำคัญของหลักนิติธรรมกับการสร้างตลาดทุนให้มีความน่าเชื่อถือ และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมพัฒนาสินทรัพย์ลงทุนและตลาดใหม่ ๆ ปลดล็อกการพัฒนาของประเทศและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านมุมมองจากประสบการณ์ในการทำงานด้านกระบวนการยุติธรรมและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

 

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง ความท้าทายและพัฒนาของตลาดหลักทรัพย์ในการส่งเสริมหลักนิติธรรม ดังเช่นการจัดระบบข้อมูลด้านความยั่งยืน ESG Data Platform เพื่อสร้างความโปร่งใส การส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และความพยายามตัดลดกฎหมายที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน

 

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) กล่าวถึง ความพร้อมของประเทศไทยที่ต้องก้าวตามเทรนด์ของโลกในด้านต่าง ๆ ซึ่งสัมพันธ์กับหลักนิติธรรม และยังเป็นวิกฤตของประเทศ ทั้งเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจนอกระบบ เทคโนโลยีสีเขียว รวมทั้งแนวทางการพัฒนากรอบกฎหมายให้แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือเพื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่เป็นสากลอย่าง OECD

 

นายวิเชียร พงศธร นักลงทุนเพื่อสังคมและประธานกรรมการกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ จะกล่าวถึง ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เป็นรากฐานปัญหาหลักนิติธรรมของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีแนวทางการแก้ปัญหาแบบใหม่อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอาศัยความร่วมมือของภาคประชาสังคมและสร้างกลไกที่ช่วยเสริมพลังของภาคประชาชนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

 

ดร. มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวถึง ความเชื่อมโยงระหว่างการคอร์รัปชันกับระบบสังคมและกระบวนการยุติธรรมไทย ที่กำลังเป็นจุดบดบังการเติบโตของประเทศ เพราะทำให้งบประมาณถูกนำไปใช้ในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ แต่ไม่มีงบประมาณสำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

อ่านสรุปเวที “เปิดวิสัยผู้นำ : ลงทุนกับนิติธรรม หลักประกันอนาคตที่ยั่งยืน”

รับชมย้อนหลัง Thailand Rule of Law Fair 2025: งานแฟร์เพื่อความแฟร์

เอกสารประกอบ Thailand Rule of Law Fair 2025: งานแฟร์เพื่อความแฟร์

 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีวงเสวนาในประเด็นที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักนิติธรรมในมิติอื่น ๆ อาทิ รัฐธรรมนูญ การปฏิรูปกฎหมาย และการอำนวยความยุติธรรม, รัฐบาลโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล, ความยุติธรรมในมุมมองของประชาชน, ความยุติธรรมสิ่งแวดล้อม, นวัตกรรมเพื่อความยุติธรรม, Youth Dialogue, ภาพยนตร์เพื่อความยุติธรรม, นิทรรศการหลักนิติธรรม และตลาดเครือข่ายสร้างสังคมยุติธรรม เป็นต้น

 

 

ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ กล่าวถึงงานในครั้งนี้ว่า หวังว่างาน Thailand Rule of Law Fair งานแฟร์เพื่อความแฟร์ จะเป็นส่วนช่วยให้สังคมเห็นถึงความสำคัญของการยกระดับนิติธรรม ในมิติที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งต้องเริ่มต้นที่วันนี้ ตอนนี้ เพื่อนำไปสู่การสร้างรากฐานสู่อนาคตที่ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มีความน่าเชื่อถือ ประชาชนเชื่อมั่นในการบริหารประเทศ ดึงดูดนักลงทุนและนักธุรกิจจากทั้งในไทยและต่างประเทศ เอื้อให้สังคมโดยรวมมีเศรษฐกิจเติบโต

Back
chat