ยอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัว

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ (cookie) เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานและเพิ่มความพึงพอใจต่อการได้รับการเสนอข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตามนโยบายคุกกี้ของเรา

รายละเอียดเพิ่มเติม

เปิดวิสัยทัศน์ผู้นำ “ลงทุน” กับนิติธรรม เพื่อหลักประกันอนาคตที่ยั่งยืน


ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายต่าง ๆ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ในขณะที่เรามีเป้าหมายจะเข้าร่วมเป็นสมาชิก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อเพิ่มศักยภาพและบทบาทในเวทีโลก ได้นำมาสู่เวทีเปิดวิสัยทัศน์ผู้นำ “ลงทุน” กับนิติธรรมหลักประกันอนาคตที่ยั่งยืน ในงาน "Thailand Rule of Law Fair 2025" งานแฟร์เพื่อความแฟร์ ที่จัดขึ้นในหัวข้อ Investing in the Rule of Law for a Sustainable Future” โดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ร่วมกับเครือข่ายผู้นำด้านหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน (RoLD) The World Justice Project (WJP) และสำนักข่าว The Standard เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568  

 
 

 

หลักนิติธรรม รากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน


 

 

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของหลักนิติธรรมว่า

 

หลักนิติธรรมเปรียบเสมือนอากาศที่มองไม่เห็น ซึ่งหากอากาศยังบริสุทธิ์อยู่ เราอาจไม่รู้สึกถึงความสำคัญ แต่หากอากาศเป็นพิษหรือขาดหายไป เราจะรู้สึกอึดอัดและตระหนักถึงความจำเป็น
 

 

ทั้งนี้ ในทุกสังคมจะมีกฎหมายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้บ้านเมืองสงบสุข หากกฎหมายถูกใช้อย่างไม่เท่าเทียม เช่นมีการบังคับใช้ 2 มาตรฐาน หรือระบบยุติธรรมไม่โปร่งใส จะสร้างความไม่ไว้วางใจในสังคม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน รวมถึงความเชื่อมั่นทางการเมือง โดยหากศึกษารัฐที่ล้มเหลวจะเห็นว่าล้วนเกิดจากปัญหาการขาดหลักนิติธรรมที่ดี
 

สำหรับความท้าทายในการขับเคลื่อนหลักนิติธรรมในประเทศไทย คือ คนในสังคมยังมองว่าหลักนิติธรรมเป็นเรื่องเฉพาะของนักกฎหมาย ทั้งที่ในความเป็นจริง ทุกภาคส่วนในสังคมต่างได้รับผลกระทบจากความบกพร่องของหลักนิติธรรม ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป นักธุรกิจ หรือนักการเมือง และอีกประการที่สำคัญคือ ในประเทศไทยหลักนิติธรรมยังไม่ได้ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับหลักประชาธิปไตยและหลักธรรมาภิบาลอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้
 

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กล่าวอีกว่า การลงทุนเพื่อพัฒนาหลักนิติธรรมนั้น จำเป็นต้องลงทุนทั้งในเชิงโครงสร้างความคิดและการจัดระบบสังคมให้เข้าใจถึงความสำคัญร่วมกัน เพื่อสร้างระบบกฎหมายที่เป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งการขับเคลื่อนหลักนิติธรรมในช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะเวลาที่ดี เพราะเป็นหมุดหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs ข้อ 16 และเป็นปัจจัยเอื้อให้เป้าหมายอื่น ๆ บรรลุผลได้ นอกจากนี้ ผลงานวิจัยล่าสุดของเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปีล่าสุด (2024 Nobel Laureate) ได้เน้นย้ำว่า

 

ประเทศที่มีหลักนิติธรรมจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนหลักนิติธรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ต้องเกิดจากการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม การวัดผลความก้าวหน้าในการพัฒนาหลักนิติธรรมด้วยตัวชี้วัดที่ชัดเจน และการเปิดพื้นที่
ให้เยาวชนคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไปได้เข้ามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของประเทศไปด้วยกัน  
 

 

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์กล่าวทิ้งท้ายว่า หลักนิติธรรมไม่ใช่เรื่องของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสร้างเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทย การบ่มเพาะแนวคิดนี้ในทุกระดับของสังคมเป็นการลงทุนที่สำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

 

ต้นทุนที่ต้องจ่าย เมื่อหลักนิติธรรมไทยอ่อนแอ

 


คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่าท่ามกลางความท้าทายของโลกไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สงครามการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงปัจจัยใหม่ล่าสุดอย่างนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่สร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยต้องเผชิญความท้าทายที่สำคัญทั้งจากภาวะโลกร้อน การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ผลิตภาพแรงงานต่ำ หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน ความขัดแย้งทางการเมือง กฎหมายที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรค ปัญหาคอร์รัปชัน ต้นทุนพลังงานต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง และ Logistics การขาดแคลนเทคโนโลยี นวัตกรรม ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างมากมาย รวมถึงสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดประเทศไทย


ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2557-2566 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.92% เป็นอันดับที่ 9 ใน 10 ประเทศอาเซียน และหากดูจากตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งไม่นับรวม 4 ประเทศ คือ บรูไน ลาว กัมพูชา และเมียนมา จะเห็นว่าไทยอยู่ในอันดับรั้งท้ายในภูมิภาค สะท้อนถึงความน่ากังวลในการแข่งขัน

 


หนึ่งในปัญหาที่ถูกเน้นย้ำความสำคัญมากสุดในมุมมองของภาคเอกชน คือ กฎหมายที่มีอยู่เป็นจำนวนมากและล้าสมัย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

 

โดยประเทศไทยมีพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดที่เป็นกฎหมายหลักรวมกัน 971 ฉบับ และมีกฎหมายรองอีกกว่า 100,000 ฉบับ ขณะที่สิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่ก้าวขึ้นมามีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในโลกในปีที่ผ่านมามีกฎหมายหลักเพียง 500 ฉบับ และกฎหมายรองเพียง 1,000 ฉบับ


กฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เพียงเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ แต่ยังเปิดช่องให้เกิดการใช้ดุลยพินิจอย่างไม่เป็นธรรมเอื้อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน และสร้างต้นทุนแฝงให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ต้องเผชิญกับภาระมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ โดยหากมองเฉพาะในส่วนของใบอนุญาตที่เรามีอยู่ถึง 2,900 ฉบับ นับว่ามากกว่าเกือบ 10 เท่า เมืื่อเทียบกับมาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้วซึ่งมีค่าเฉลี่ยของใบอนุญาตเพียง 300 ฉบับ


คุณเกรียงไกรให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาในปี 2562 พบว่าหากยกเลิกหรือแก้ไขกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นเพียง 1,094 กระบวนงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายเพียงไม่กี่ฉบับ จะสามารถประหยัดงบประมาณได้ราว 1.3 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 0.8% ของจีดีพี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการกิโยตินกฎหมายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ความสำเร็จของเกาหลีใต้หลังวิกฤตการเงินเอเชียในปี 2542 ซึ่งได้มีการยกเลิกกฎหมายกว่า 48.8% และปรับปรุงกฎหมายเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ 21.7% ส่งผลให้จีดีพีพุ่งทะยานขึ้นถึง 4.4%  


ทั้งนี้ ประเทศไทยสามารถเรียนรู้การปฏิรูปกฎหมายจากโมเดลกฎหมายสารพัน (Omnibus Law) ซึ่งเป็นวิธีการออกกฎหมายฉบับเดียวที่ครอบคลุมการปรับปรุงกฎหมายหลายฉบับ เพื่อช่วยลดขั้นตอนการแก้ไขกฎหมาย
ที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลในยุโรปและกำลังเป็นที่จับตามองในอินโดนีเซีย


คุณเกรียงไกรทิ้งท้ายว่า การแก้ไขปัญหากฎหมายที่ล้าสมัยหรือการกิโยตินกฎหมายจะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจไทย หากสามารถดำเนินการได้สำเร็จ จะปลดล็อกศักยภาพของประเทศในการดึงดูดการลงทุน ช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้นไปอยู่ที่ 4-5% ต่อปี และเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประเทศไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

 

 

ลงทุนหลักนิติธรรม แก้ปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ ปลดล็อกศักยภาพประเทศ   

 


คุณผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน)ชี้ให้เห็นว่านอกจากความท้าทายที่ถูกถาโถมทั้งจากปัจจัยในระดับโลกและในระดับประเทศ ตัวโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยเองก็มีปัญหา เพราะมีเศรษฐกิจนอกระบบถึง 48% ทำให้ต้องพึ่งพาแรงงานนอกระบบถึง 51% ประชากรไทย 68 ล้านคน มีผู้ยื่นภาษีเพียง 11-12 ล้านคน เสียภาษีจริงเพียง 4 ล้านคน ขณะที่ผู้ประกอบการไทยเป็น SMEs ถึง 99% ซึ่งมีการจ้างงานถึง 13 ล้านคน หรือราว 70% ของแรงงานทั้งระบบ
แต่กลับพบว่ามี SMEs ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเพียง 26%

 

ยิ่งกว่านั้นคือ วิกฤตปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่ทะลุ 104% ของจีดีพี โดยมียอดหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 708,736 บาท ในจำนวนนี้เป็นหนี้นอกระบบประมาณ 14% และมีครัวเรือนที่พึ่งพาหนี้นอกระบบถึง 34% ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าประชาชนจำนวนมากยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเป็นทางการไม่ได้

 

ความท้าทายที่มาพร้อมกับเศรษฐกิจนอกระบบคือ ประเทศไทยจะมีรายได้ต่ำกว่าศักยภาพ ผลิตภาพอยู่ในระดับต่ำ การกำกับดูแลและธรรมาภิบาลต่ำ มีปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำสูง ขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ โดยประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มเดียวที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ประชากรวัยแรงงาน (อายุ 25-64 ปี) กำลังใกล้แตะจุดสูงสุดก่อนที่จะหดตัวลง และเยาวชนที่จะมาเสริมทัพเป็นประชากรวัยแรงงานในอนาคตก็มีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ นำมาสู่คำถามว่าคนรุ่นใหม่จะอุ้มชูสวัสดิการของประชากรหมู่มากที่กำลังเข้าสู่วัยสูงอายุได้อย่างไร

 

คุณผยงให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า หากดูตัวเลขการลงทุนของประเทศไทยย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Fixed Asset) ของธุรกิจที่อยู่ตลาดหลักทรัพย์ลดลงถึง 32% ซึ่งสะท้อนในตลาดทุนของประเทศว่าค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (Price to Book Ratio) อยู่ที่ 1.4 และ 60% ของบริษัทจดทะเบียนมีค่า Price to Book ต่ำกว่า 1

 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนในระยะ 5 ปีข้างหน้า ในขณะที่ไทยยังต้องเผชิญความท้าทายในการปรับตัวให้ทันกับมาตรฐาน ESG และต้องมีการลงทุนเพื่อก้าวไปสู่ Net Zero อีกมหาศาล โดยภายในปี 2573 ไทยจะต้องลงทุนสีเขียวราว 184 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในปี 2566 ที่ผ่านมาเพิ่งมีการลงทุนจากภาคเอกชนไทยเพียง 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

 

ยิ่งกว่านั้นคือ การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพในการผลิต ไทยเราก็ยังคงลงทุนต่ำและไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ทรัพยากรสาธารณะถูกช่วงชิงและนำไปใช้ด้วยอำนาจเหนือตลาดและระบบที่นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ ทรัพยากรจำนวนมากไหลออกนอกประเทศเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าแทนที่จะถูกนำมาใช้พัฒนาระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ อย่างไรก็ดี ถือเป็นสัญญาณแห่งความหวังที่ดี เมื่อภาครัฐกล้าตัดสินใจแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การจัดการปัญหาพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ช่วยปกป้องไม่ให้ทรัพยากรถูกนำไปหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจนอกระบบ

 

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น สะท้อนว่าหลักนิติธรรมเป็นพื้นฐานสำคัญทางสังคมและเศรษฐกิจ การปฏิรูปกฎหมาย
ที่ล้าหลัง ตกยุค ตกสมัย ซับซ้อน และไม่เป็นธรรมในบริบทของโลกปัจจุบัน จำเป็นต้องถูกทะลวงสนิมเพื่อให้เกิดโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง เท่าเทียม

 

การลงทุนปฏิรูปหลักนิติธรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยข้อมูลที่มีคุณภาพ โปร่งใส และเชื่อถือได้ เพื่อนำไปสู่การถกเถียงในเวทีสาธารณะอย่างสร้างสรรค์ เกิดเป็นแนวร่วมและพันธมิตรร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน ต้องเน้นหาทางออกที่ทุกฝ่ายสามารถได้ประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win) และตอบโจทย์ความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม

 

รวมทั้งต้องสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของ OECD ซึ่งหากประเทศไทยสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมกับบริบทในประเทศ จะทำให้เราสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD ผลักดันให้จีดีพีไทยเพิ่มขึ้น 1.6% หรือประมาณ 2.7 แสนล้านบาท และที่สำคัญคือ ทำให้ทรัพยากรที่อยู่นอกระบบถูกดึงกลับมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และนำไปสู่การเติบโตที่มีคุณภาพ เท่าเทียม และทั่วถึง

 

 

ลงทุนในหลักนิติธรรม สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย

 

 

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าการลงทุนในหลักนิติธรรมเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ แม้จะไม่แสดงผลลัพธ์ในรูปของตัวเลข แต่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

 

จากเป้าหมายใหญ่ของประเทศไทยที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD จำเป็นต้องมีการพัฒนาหลักนิติธรรมทั้งในส่วนของการปฏิรูปกฎหมาย การพัฒนาสถาบัน และการสร้างวัฒนธรรมการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปกฎหมายเร่งด่วน กระบวนการออกกฎหมายที่รวดเร็ว ทันโลก ทันเทคโนโลยี ทันการณ์

 

นอกจากนี้ ต้องมีการปฏิรูปการศึกษากฎหมายตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายของทุกภาคส่วน ซึ่งปัจจุบัน ตลท. จะร่วมกับ TIJ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สร้างสถาบันอบรมเรื่องตลาดทุน ให้ความรู้แก่หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม เช่น ตำรวจ อัยการ เพื่อนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายตลาดทุนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนจะมีการสร้างตำราเพื่อถอดบทเรียนและแนวทางปฏิบัติ
ที่สามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง

 

การสร้างความตระหนักรู้และจิตสำนึกด้านจริยธรรมและความถูกต้องให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้บังคับใช้กฎหมาย เป็นอีกหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูหลักนิติธรรม

 

สิ่งแรกที่คนไทยควรจะทำ คือ การเสียภาษีถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทในประเทศไทยกว่า 9 แสนแห่ง แต่มีเพียงหนึ่งแสนแห่งที่เสียภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาความไม่ปกติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

 

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ ยังได้หยิบยกสถิติการกระทำความผิดในตลาดทุนไทยย้อนหลัง 10 ปี ระหว่างปี 2557-2567 จำนวน 105 คดี คิดเป็นค่าปรับทั้งหมด 35,000 ล้านบาท เป็นคดีฉ้อโกง 28 คดี ค่าปรับ 2,000 ล้านบาท ตกแต่งบัญชี 9 กรณี ค่าปรับรวม 30,000 ล้านบาท ฟอกเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท และอินไซเดอร์ 22 กรณี ค่าปรับ 250 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงต้นทุนของประเทศที่เกิดจากการฉ้อฉลในตลาดทุนไทย

 

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ เน้นย้ำว่าการลงทุนในหลักนิติธรรมไม่เพียงช่วยสร้างความยุติธรรมในสังคม แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD ได้ ซึ่งจะสร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล

 

สุดท้ายที่ต้องขอเน้นย้ำในทุกเวที คือ คนไทยต้องไม่ยอมนิ่งเฉยหรือเพิกเฉยกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเราทุกคนในทุกภาคส่วนยึดมั่นในหลักเดียวกันว่า สิ่งที่ถูกคือถูก สิ่งที่ผิดคือผิด จะเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้หลักนิติธรรมเกิดขึ้นได้ในบ้านเมืองเรา 

 

 

กฎหมายที่ดีต้องมาพร้อมกับการบังคับใช้ที่ดี

 

 

ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่าหลักนิติธรรมสำคัญมากต่อการสร้างเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของตลาดทุน การมีกฎหมายที่ดีและมีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถคำนวณต้นทุนและวางแผนได้อย่างมั่นใจ

 

แน่นอนว่า การกิโยตินกฎหมายจะช่วยแก้ปัญหากฎหมายเฟ้อ แต่ปัญหาสำคัญของประเทศไทย คือ กระบวนการแก้ไขกฎหมายมีความซับซ้อนและล่าช้า ยกตัวอย่างการส่งเสริมให้เกิดการถ่ายลำ (Transshipment) ได้อย่างเบ็ดเสร็จ จะมีหลาย ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เรื่องการเงิน ระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียม ขณะเดียวกันก็มีเรื่องของกฎหมายขออนุมัติอนุญาตจากหลาย ๆ หน่วยงานที่เป็นอุปสรรคปัญหา ที่ผ่านมาจึงได้มีการเสนอแก้ไขกฎหมาย
6 ฉบับ แต่ปรากฏว่าในกระบวนการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหามากมาย เพราะต้องผ่านการพิจารณาจากหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะถกเถียงให้มีความคิดเห็นตรงกันได้

 

ดังนั้น การสร้างหลักนิติธรรมจึงต้องไม่มองแค่เรื่องของการตัดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น หรือ “กิโยตินกฎหมาย” แต่หัวใจสำคัญคือ การมองที่วัตถุประสงค์ของสิ่งที่จะทำแล้วดูว่ากฎหมายสามารถตอบจุดมุ่งหมายที่แท้จริง และวัดผลได้หรือไม่

 

ตัวอย่างเช่น ในตลาดทุนไทยมีการดำเนินคดีเพิ่มขึ้น 3 เท่าในช่วงปีที่ผ่านมา ด้วยระยะเวลาการดำเนินคดีเร็วขึ้นกว่า 40% แต่นี่ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เป้าหมายที่ดีที่สุดก็คือต้องไปสู่ระบบที่ทำให้ตลาดมีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย และต้องนำไปสู่การป้องกันปัญหาได้

 

อีกประเด็นสำคัญ คือ การบังคับใช้กฎหมาย เพราะหากมีกฎหมายที่ดี แต่ไม่มีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการได้ รวมทั้งต้องสามารถตอบสนองต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เช่น การจัดการกับปัญหาหลอกลวงทางออนไลน์ที่มีความซับซ้อนสูง

 

ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ ชี้ให้เห็นว่าการปฏิรูปหลักนิติธรรมต้องอาศัยผู้นำ หรือหน่วยงาน "Champions"
ในแต่ละด้านที่มีความสามารถในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความทุ่มเท
และความพยายามอย่างสูง 

 

การป้องกันปัญหาย่อมดีกว่าการแก้ไขหลังเกิดปัญหาแล้ว นี่คือหลักคิดสำคัญในการสร้างกฎหมายที่ดี กฎหมายที่เขียนออกมาอาจเป็นแค่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เราต้องสร้างวิธีปฏิบัติให้เป็นร่มเงาของต้นไม้มีความกว้างออกไปเพียงพอต่อการสร้างความสงบสุขให้กับสังคมหรือระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น กฎหมายที่ดีต้องมาพร้อมกับการบังคับใช้ที่ดีด้วย  

 

 

ไม่หยวนยอมให้ละเมิดหลักนิติธรรม ปิดทางโตของคอร์รัปชันในไทย

 

 

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยยังคงเรื้อรังและไม่เคยลดลงตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา แม้ประชาชนจะตื่นตัวและรับรู้ถึงความเสียหาย แต่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนกลับไม่เกิดขึ้นจริง รัฐบาลมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ขณะที่ดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศยังคงตกต่ำและถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปเรื่อย ๆ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญถูกตั้งคำถามจากสังคม กระบวนการยุติธรรมและหลักนิติธรรมยังคงอ่อนแอ

 

สิ่งที่เรายังเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน คือ การเลือกตั้งทุกระดับมีการใช้เงิน ใช้อิทธิพล พึ่งบ้านใหญ่นายทุนพรรค
ขณะที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งเป็นที่คาดหวังของสังคมว่าจะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงส่วนกลางเข้ากับการบริหารส่วนท้องถิ่น ทุกวันนี้ยังอยู่ใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย และเผชิญปัญหาคอร์รัปชันเช่นเดียวกัน จากผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเผยว่า 95% ของประชาชนทราบถึงความไม่โปร่งใสใน อบจ. และการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและบริหารงาน  

 

นอกจากนี้ จากข้อมูลสืบค้นของระบบ ACTAi ระหว่างปี 2558-2567 พบว่า อบจ. ทั่วประเทศใช้งบประมาณกว่า
3 แสนล้านบาท หรือประมาณ 63% ของงบลงทุนไปกับการสร้างถนน ในขณะที่งบประมาณด้านการศึกษา
การสร้างตลาดกลาง ส่งเสริมการเกษตร พัฒนาอาชีพ และสนับสนุนผู้ประกอบการยังคงมีน้อยมาก

 

ข้อมูลตัวเลขดังกล่าวยังถือว่าต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ระบบ AI ตรวจจับไม่ได้ เช่น แทนที่จะเขียนอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นโครงการสร้างถนน แต่เขียนว่าเป็นโครงการแก้ไขจุดเสี่ยงจราจร หรือเป็นโครงการความปลอดภัยบนท้องถนน นอกจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังใช้สิทธิพิเศษในการไม่บันทึกข้อมูลในระบบสารสนเทศของกรมบัญชีกลางได้ ก็ทำให้การตรวจสอบยิ่งยากขึ้น


แม้ว่าตลอดระยะเวลา 13 ปี นับตั้งแต่มีการก่อตั้งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จะมีความพยายามสร้างเครื่องมือสำหรับประชาชน เช่น ระบบ ACTAI เว็บไซต์เปิดเผยข้อมูลภาครัฐ โครงการข้อตกลงคุณธรรมเพื่อความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง เครือข่ายภาคประชาชนในการตรวจสอบภาครัฐ ฯลฯ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดปัญหาคอร์รัปชันได้

 

การแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องอาศัยพลังของประชาชนในการมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งข้าราชการ นักธุรกิจ นักวิชาการ สื่อมวลชน และคนรุ่นใหม่ ต้องร่วมกันสร้างกระแสสังคมต่อต้านคอร์รัปชันด้วยข้อมูลและความรู้ พร้อมเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาที่รัฐไม่สามารถจัดการได้ จึงจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง

 

 

ลงทุนในหลักนิติธรรม ต้องเกิดจากพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

 

 

คุณวิเชียร พงศธร นักลงทุนเพื่อสังคมและประธานกรรมการกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ กล่าวว่าเวทีในวันนี้ทำให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังจะมีการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสร้างหลักนิติธรรม เพราะเราต่างเชื่อมั่นว่าจะนำไปสู่ความยั่งยืนในการแก้ปัญหาความท้าทายต่าง ๆ ที่เราประสบพบเห็นกันอยู่ และเข้าใจว่าการจัดงานในครั้งนี้ TIJ ก็ตั้งใจชวนทุกคนให้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนเสริมสร้างหลักนิติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้วยทรัพย์สิน ความรู้ เวลา หรือการมีส่วนร่วมเชิงปฏิบัติในการพัฒนาหลักนิติธรรมให้เข้มแข็งเพื่อเป็นรากฐานของสังคมที่ยั่งยืนต่อไป

 

เวทีในครั้งนี้ได้ทำให้เห็นแล้วว่าอนาคตที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากหลักนิติธรรมของเราไม่เข้มแข็ง เพราะหลักนิติธรรมมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับปัญหาสำคัญในสังคมในหลากหลายมิติ เช่น ปัญหาคอร์รัปชันที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการศึกษา ฯลฯ ตามบริบทที่แต่ละคนต้องเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเชื่อว่าจะประกอบด้วยแง่มุมที่หลากหลาย และทำให้เห็นว่ามีความจำเป็นที่ต้องอาศัยแง่มุมที่หลากหลายของคนในสังคมมาช่วยกันการแก้ปัญหาเช่นเดียวกัน

 

ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ ยังมีเพื่อนร่วมสังคมของเราอีกจำนวนมากที่อาจจะมีความรู้ความเข้าใจไม่เข้มแข็งนักว่า
การขับเคลื่อนหลักนิติธรรมเป็นหน้าที่ของทุกคน ดังนั้น จึงขอเชิญชวนคนที่ตระหนักรู้และมีความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างเข้มแข็งอยู่แล้วช่วยเผยแพร่ในเรื่องนี้ต่อ ๆ กันไป

 

คุณวิเชียร พงศธร ย้ำว่าการเสริมสร้างหลักนิติธรรมไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบของทุกคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม หรือประชาชนทั่วไป ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการสร้างความเข้มแข็งให้กับหลักนิติธรรม จึงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้

 

คุณวิเชียรยังได้แบ่งปันประสบการณ์ในการทำงานด้านการลงทุนเพื่อสังคมตลอดระยะเวลา 30 ปี ที่ผ่านมา
ว่าได้เลือกใช้แนวทางการสร้างความร่วมไม้ร่วมมือจากผู้คนที่มีหลากหลายเช่นเดียวกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นงานทางด้านการศึกษา งานสาธารณสุข งานด้านสิ่งแวดล้อม ไม่มีใครที่มีความเชี่ยวชาญไปหมดทุกเรื่อง แต่เป็นสิ่ง
ที่เราต้องไปเชิญชวนคนที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายมิติมาช่วยกันสร้างสรรค์การทำงาน จึงจะเป็นหนทาง
แห่งความสำเร็จในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคม

 

การลงทุนเพื่อสังคมเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่าการลงทุนทำธุรกิจมากมายทวีคูณ และขอยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นได้จริง แต่ต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบ และแน่นอนว่า การจะเอื้อให้คนมาทำงานร่วมกันได้ ต้องมีพื้นที่สำหรับการเรียนรู้และการมีส่วนร่วม มีเวทีที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่และผู้คนจากภาคส่วนต่าง ๆ ได้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทดลองแนวทางใหม่ ๆ แม้อาจจะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่กระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้สังคมก้าวไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน

 

รับชมย้อนหลัง Thailand Rule of Law Fair 2025: งานแฟร์เพื่อความแฟร์

เอกสารประกอบ Thailand Rule of Law Fair 2025: งานแฟร์เพื่อความแฟร์

Back
chat